10.11.2008

เปลือยชีวิตคุณพ่อ

เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลได้เดี๋ยวเดียวก็ได้กลับเข้าไปอุดหนุนอีกแล้ว สาเหตุเนื่องมาจากยาที่คุณหมอจัดมาให้หมดไปได้สักอาทิตย์หนึ่ง พอดีม้วแต่ไปเที่ยวหัวหินเลยโดดนัดคุณหมอไม่ได้เข้าไปรับยาใหม่ ปรากฎว่าอาการอักเสบก็กลับมาอีก มีไข้สูงและเบาเป็นเลือด อาการดูถ้าจะแย่กว่าคราวก่อน แถมยังทรุดเร็วอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ประมาณว่าอุ้มดโรฑีอยู่ดีๆ ก็หมดแรงหน้ามืด ไข้ขึ้น หนาวสั่น เจ็บในท่อปัสสาวะขึ้นมาแบบชนิดที่ว่า ต้องยอมพาดโรฑีไปฝากคุณย่าอุ้มเดี๋ยวนั้นเลยแล้วโทรไปตามให้แป้งกลับบ้าน คืนนั้นไปโรงพยาบาลแต่คุณหมอเจ้าของไข้ไม่เข้า คุณหมออีกท่านเลยจ่ายยาเดิมเพิ่มให้แต่ลดขนาดลงครึ่งหนึ่ง


วันต่อมาอาการไข้ก็ยังไม่ดีขึ้น เลยรีบกลับไปพบคุณหมอประจำตัว คุณหมอเลยไม่่ให้กลับบ้าน สบายไป ผลเลือดแสดงให้เห็นว่าอาการติดเชื้อคราวนี้รุนแรงกว่าคราวก่อนเสียอีก คุณหมอสงสัยว่าเชื้อโรคอาจดื้อยาเลยสั่งให้นอนหยอดยาปฎิชีวนะและสังเกตอาการ

ผลคือต้องยกเลิก presentation ที่จะต้องไปพูดที่ห้าง Siam Paragon วันรุ่งขึ้น เสียดายสไลด์ Keynote อันงดงานที่นั่งอดหลับอดนอนทำไว้จริงๆ


พอนอนไปได้วันนึง ได้ยาปฏิชีวนะทางสายน้ำเกลือไปสองถุง ก็รู้สึกดีขึ้น จึงอาจหาญไปขออนุญาตคุณหมอกลับบ้าน เพราะวันต่อมามีนัดถ่าย location ที่ต่างจังหวัด ทั้งอยากไปและไม่อยากให้ลูกค้าผิดหวัง พออธิบายให้คุณหมอฟังคุณหมอตอบว่าอย่างนั้นยิ่งให้ออกไม่ได้ใหญ่ คุณหมอว่าไข้อาจกลับมาอีกและอาจขึ้นสูงจนช๊อกได้ในสองชั่วโมง ตอนที่ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกเซ็งๆ แต่ที่ยอมอยู่ต่อก็เพราะกลัวว่าเกิดไปช๊อคหมดสติเข้าจริงๆ ในขณะที่ขับรถอยู่คงไม่ดีกับแป้งและดโรฑีแน่ๆ

พอวันต่อมา ตอนตื่นมาก็ไม่ได้ร้สึกผิดปกติอะไร ยังนึกๆ อยู่ว่ารู้อย่างนี้น่าจะแอบย่องออกไปซะตั้งแต่เมื่อวานเย็นจะได้ไม่ต้องผิดนัดลูกค้า ปรากฏว่าพอใกล้จะถึงเวลาให้ยา ไข้ก็กลับมาอีก จริงอยู่ว่ามันไม่ได้มากขนาดหมดสติ แต่ก็หนักหนาเอาการอยู่ หากเป็นแบบนี้ตอนที่กำลังขับรถอยู่หรือถ่ายงานอยู่คงจะแย่แน่ เรานี่มันไม่เจียมตัวเลยจริงๆ

แต่นั่นแหละครับ ที่สุดแล้วก็ได้กลับมานั่งเขียน blog ให้ทุกท่านอ่านต่อไป ยังดีที่ผลตอบสนองต่อยาทางสายน้ำเกลือค่อนข้างดี เลยกลับบ้านมาทานยาต่อได้ ไม่ต้องกลับไปหยอดยาที่โรงพยาบาลทุกวันให้คุณหมอเยาะเย้ยเอา


setup คราวนี้ต่างไปจากเดิม สาเหตุหลักเป็นเพราะพี่ชายของคุณลูกค้าเขาอยากดูโทรทัศน์ หากวางฉากหลังและไฟตามแบบเดิมก็จะบังโทรทัศน์หมด ผมเลยลองสลับมาจัดตามแนวขวางแทน ยิ่งอาจจะทำให้รู้สึกว่าสตูดิโอน้อยๆ ของเรายิ่งแคบลงไปอีก แต่อย่างน้อยคุณพี่ชายก็มีอะไรไว้ดูแก้เบื่อ การย้าย setup คราวนี้ทำให้ต้องวัดระยะ strobe ใหม่ทั้งหมด แต่ผลที่ได้เป็นที่น่าพอใจ คือสามารถวางตำแหน่ง hi-lite ในตาของนางแบบได้ดีกว่าเดิมโดยไม่มี hi-lite อื่นๆ ที่เกิดจากแสงจากนอกหน้าต่างมารบกวน และด้วยว่า setup นี้หันหลังให้หน้าต่าง แสง ambient จึงค่อนข้างมืดทำให้ม่านตาของนางแบบขยายออกกว้างกว่าเวลาที่ถ่ายใน setup เดิม  hi-lite ที่ใหญ่ขึ้นของ setup ใหม่ บวกกับรูม่านตาที่ขยายใหญ่เพราะไม่ถูกแสงรบกวนจากหน้าต่าง ทำให้ดวงตาของนางแบบน้อยของผมดูใหญ่และเป็นประกาย แผ่นสะท้อนแสงที่เอาไว้ใช้สะท้อนแสงจากหน้าต่างมาเป็น backlight ในคราวนี้เปลี่ยนมาใช้ให้ fill ด้านข้างแทน ทำให้มิติของภาพต่างไปจากเดิม


setup อาทิตย์ต่อมายิ่งแปลกเข้าไปใหญ่เพราะคุณพ่อของนางแบบเขายุขึ้น แค่คุณภรรยายุให้ถอดเสื้อผ้าไปถ่ายนู๊ดคู่กับลูก พอผมหันมาอีกทีเห็นคุณพ่อเขาผลัดจากเสื้อมาเป็นห่มผ้าเช็ดตัวยืนรออยู่เรียบร้อย เขาว่าอยากได้ภาพนู๊ดคู่กับลูกมานานแล้ว ช่วงที่เริ่มถ่ายนางแบบของเรากำลังงอแง จะอยู่แต่ในห้องนอน ไม่ยอมออกมาในบริเวณ setup เลยต้องเปลี่ยนมาใช้ strobe เล็กและใช้แป้งเป็นขาตั้งไฟแบบสั่งการด้วยเสียง แค่บอกว่าให้เล็ง strobe ไปตรงไหนหรือให้ย้ายไปอยู่ตำแหน่งไหนในห้อง ขาไฟรุ่นพิเศษนี้จะรีบจัดให้ทันที แสนรู้จริงๆ ถ่ายด้วย strobe เล็กไปได้พักหนึ่งก็รู้สึกไม่ค่อยถูกใจ แสงแดดจากนอกหน้าต่างไม่เป็นใจ มืดและอมน้ำเงินเขียว ไม่สามารถใช้เสริมมิติของภาพได้เลย ถ้าจะใช้จริงๆ ก็คงต้องปรับความเร็วชัตเตอร์ให้ต่ำมากๆ ซึ่งถึงจะให้บรรยากาศในภาพอย่างที่ต้องการ ก็จะไม่เร็วพอที่จะสามารถหยุดการเคลื่อนไหวของนากแบบตัวน้อยในอ้อมแขนคุณพ่อได้ จึงต้องยอมอย่างนั้นไปก่อน


แสงและเงาเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับภาพถ่ายนู๊ด นู๊ดนั้นไม่ได้หมายถึงว่าแก้ผ้าถ่ายอย่างเดียว หัวใจของงานนู๊ดนั้นอยู่ที่รูปทรง โครงร่าง และพื้นผิวของร่างกายมนุษย์ สิ่งที่ผมอยากได้ในตอนนั้นคือภาพที่เก็บความผูกพัน ความคุ้นเคย ความเข้าใจกัน ระหว่างพ่อกับลูกสาวตัวน้อย โดยที่เน้นโครงร่างที่เปล่าเปลือยของนางแบบและคุณพ่อไว้ด้วย ผมยังนึกอยู่ว่าเสียดายจริงๆ น่าจะบอกกันก่อนว่าอยากถ่ายแบบนี้จะได้จัดไฟรอไว้ให้ ใช้ strobe เล็กดวงเดียวในห้องนอนคงจะไม่ค่อยงามเท่าไร พอถึงช่วงพัก พอดีเป็นการพักทานนมเลยนานหน่อย ผมเลยถือโอกาสออกไปจัดไฟให้ใหม่ที่ setup เดิมที่อยู่ในห้องรับแขก มีเวลาทดสอบไม่มากนัก ต้องรีบให้ทันกับนางแบบน้อย และขณะเดียวกันก็ต้องจัดในแบบที่สามารถเปลี่ยนกลับมาถ่ายภาพเดี่ยวนางแบบน้อยแบบเดิมได้โดยไม่ต้องย้ายไฟกันใหม่ทั้งหมด

ผมเลยจัดไฟไว้สองชุดโดยที่จริงใช้ไฟชุด

เดียวกันเลือกสลับใช้โดยการเปลี่ยนความถี่ของสัญญาน remote  โดยใน setup นู๊ดควบคุม rimlight ด้วย remote แล้ว set ตัว fill ของ setup ภาพเดี่ยวมาเป็น key แทนโดยให้เป็น optical slave ของ rimlight ส่วนไฟ key ของ setup แรกก็ปล่อยไว้อย่างนั้นเพราะมันจะไม่ยิงอยู่แล้วเพราะ remote ของมันตั้งไว้คนละความถี่กับ remote ของตัว rimlight

เวลาที่ถ่ายนู๊ด เฉพาะ rimlight กับ key2 (fill ของ setup แรก) จะยิง

และเมื่ออยากจะเปลี่ยนกลับมาถ่ายภาพเดี่ยวนางแบบตามเดิม ก็แค่เปลี่ยนมาใช้ความถี่ remote ของ key1 เท่านั้น key2 มันก็จะลดตำแหน่งกลายเป็น fill ไปตามเดิม ส่วน rimlight สำหรับนู๊ดก็จะไม่ยิงไปโดยอัตโนมัติ เจ้า setup 2-in-1 ของผมคราวนี้อาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบไปทั้งหมด แต่ก็แอบยิ้มอยู่ในใจว่าเป็นวิธีที่แยบยลมาก เริ่มจะสงสัยนิดๆ ว่าคุณหมอที่โรงพยาบาลแอบใส่อะไรลงไปในสายน้ำเกลือหรือเปล่า ดูเหมือนนายดนพจะฉลาดขึ้นกว่าตอนก่อนเข้ารักษา หรือจะเป็นอาการของคนทีป่วยมากๆ แล้วเพิ่งหายป่วย จะรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ หรือจะเป็นเหตุผลง่ายๆ แค่ว่าแต่เดิมก่อนป่วยเราไม่ได้พักผ่อนจนสมองล้าจนชิน จนคิดไปว่าตัวเราโง่ แต่พอป่วยแล้วได้ไปนอนพักอยู่เฉยๆ อาทิตย์หนึ่ง สมองเลยกลับมาแช่มชื่นตามเดิม แต่ด้วยว่าเคยชินกับสมองเบลอๆ เลยรู้สึกเหมือนว่าตัวเองฉลาดขึ้น แต่ที่แน่ๆ คืนนี้คงเริ่มเบลอๆ แล้วชักจะเขียนไม่รู้เรื่อง ดโรฑีทานนมเสร็จแล้ว ผมขอตัวไปนอนก่อนแล้วกันครับ


 

No comments: