8.08.2008

โตขึ้นฉันจะเป็น . . .


วันนี้นั่งเตรียมเนื้อหาที่จะสอนในคล้าสวันเสาร์ที่จะถึง กะจะให้เป็นคล้าสสุดท้ายแล้วปิดคอร์สไปเลยเพราะเสาร์ถัดไปผมจะไม่ว่าง ต้องบินไปพูดที่ภูเก็ต เรื่องที่เขาให้พูดจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคนิคการประกอบภาพสำหรับงานภาพยนตร์ จะว่าเกี่ยวกับการถ่ายภาพก็เกี่ยวจะว่าไม่เกี่ยวมันก็ไม่ค่อยจะเกี่ยวกันเท่าไร


ว่าไปแล้วมานึกๆ ดูทั้งคล้าสที่สอนอยู่ ทั้งเรื่องที่เขาเชิญไปพูด ทั้งเรื่องงานถ่ายภาพ มันเป็นคนละเรื่องกันทั้งนั้น คล้าสที่สอนเป็นเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์แอนิเมชั่นในการจำลองฝูงชน (Crowd Behavior 

Simulation) ส่วนที่จะไปพูดเป็นเรื่อง Visual Effects หรือเทคนิคพิเศษในงานภาพยนตร์ เอ ทำไมชีวิตเรามันสับสนอย่างนี้หนอ ถ้าจะมองในแง่ดีก็อาจพูดได้ว่าเราคงเก่งหลายอย่าง แต่ถ้าจะดูอีกแง่หนึ่งอาจจะกลายเป็นว่าเรามันเป็นพวกจับฉ่ายเอาแน่นอนอะไรไม่ได้ บางครั้งเวลาที่ได้รับเชิญไปพูดก็จะถามเขาก่อนว่าเขารู้จักเราในฐานะอะไร ช่างภาพ อาจารย์สอนวิทยาคอมฯ อาจารย์สอนวิชาประกอบภาพ ผู้กำกับแอนิเมชั่น หรืออย่างอื่น ประมาณ 'ทำไมถึงเลือกผมไปพูดล่ะครับ' หรือ 'ชอบผมที่ตรงไหน' ที่แน่ๆ คือเมื่อนึกถึงดนพเขาคงนึกถึงเทคนิควิธีการสร้างภาพชนิดใดชนิดหนึ่ง เพราะเป็นอะไรที่เราทำด้วยใจรักมาตลอดยี่สิบปีหลัง

ทั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาจะเล่นตัว แต่เพราะต้องการทราบความคาดหวังของผู้เชิญ จะได้พูดได้ตรงวัตถุประสงค์ของการจัดงานของเขา


สำหรับที่ภูเก็ตดูเหมือนว่าหนนี้ที่จะลงไปพูดจะเป็นครั้งที่สามหรือสี่นี่แหละเข้าใจว่าที่เขาเชิญมาอีกคงเป็นเพราะคราวที่แล้วเล่นจำอวดบนเวทีได้สนุกสนานถูกใจผู้ชม ในงาน PAF ครั้งแรกนั้นเขาจัดให้ผมพูดในโรงภาพยนตร์ในห้างเซ็นทรัลเฟสติวัลภูเก็ต ไม่ทราบว่าผู้ฟังเขามาจากไหนกัน ไม่ทราบว่าตั้งใจจะมาฟังเรื่องที่ผมจะพูดในคราวนั้น บังเอิญผ่านมา หลบอากาศร้อนเข้ามา หรือว่าถูกต้อนมาจากที่ไหน แต่ในคราวนั้นผู้ฟังมากเกินความคาดหมายจริงๆ ขนาดที่นั่งในโรงภาพยนตร์ไม่พอนั่งต้องนั่งกันตามบันไดทางเดิน ทางผู้จัด SIPA ภูเก็ตเขาฉายงานของเราขึ้นจอภาพยนตร์และปล่อยเสียงเราออกทางลำโพงของโรงด้วยดูยิ่งใหญ่เกินตัวจริงๆ รู้สึกเหมือนได้เป็นดาราอยู่สามชั่วโมงเต็ม สนุกมากครับ แต่จะหวังให้มีอย่างนั้นอีกในคราวนี้คงเป็นไปได้ยาก ทั้งหัวข้อที่พูดทั้งหมายกำหนดการ แถมคราวนี้รู้สึกว่าจะให้ผมไปนั่งพูดอยู่บนเวทีในลานกิจกรรม โอกาสที่จะมีแมวมองผ่านมาเห็นคงน้อยกว่าคราวที่แล้ว


พูดถึงแมวมองกับเรื่องพูดบนเวที มีอยู่คราวหนึ่งเป็นตัวแทนประเทศไปพูดนำเสนอ Super Pitch รอบชิงชนะเลิศที่งาน Asia Media ที่สิงค์โปร์งานนั้นเป็นภาษาอังกฤษ แต่ดีทีว่าซ้อมไว้ก่อนล่วงหน้าหลายวันเลยทำได้ค่อนข้างดี ถึงตัวงานที่นำเสนอสุดท้ายแล้วจะไม่ได้รับรางวัล แต่ปรากฎว่ามี TV Producer อาวุโสชาวไทยจากค่ายดังเดินมาทัก บอกว่าน้องจ๋า กลับไปเมืองไทยเมื่อไหร่ช่วยโทรไปหาหน่อยนะ มีงานอยากให้ลองทำ ตอนนั้นมัวแต่เสียใจว่างานที่เราอุตสาห์นำเสนอไม่ได้เข้ารอบ เลยไม่ได้สนใจที่เขาพูดเท่าไร กลับมาเมืองไทยก็ลอง email ไปพร้อมกับ resume เพราะไม่แน่ใจว่าเขาอยากให้เราไปทำงานอะไร เลขาของเขาก็นัดเข้าไปคุย ปรากฎว่าเขาเห็นแววว่าน่าจะเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์รายการใหม่ของเขาได้ 


ไม่พูดพล่ามทำเพลงโยนบทมาให้ตรงหน้าปึ๊งนึง ว่าแล้วก็โทรเรียกช่างกล้องกับ Producer น้อยเข้ามาบอกว่าจะ screen test ผมสดๆ ตรงนั้น ถ้าเป็นตอนนี้ก็คงจะทำได้สบายๆ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ในตอนนั้นกำลังอยู่ในช่วงเครียดๆ กลัวๆ กับการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างในชีวิตช่วงนั้น เลยเกิดอาการแพ้กล้องขึ้นมาทันใด ปากคอสั่นไปหมด พี่ Producer เขามองอย่างงงๆ และปลงๆ ว่านี่มันเป็นคนเดียวกับที่เราเจอที่สิงค์โปร์แน่หรือ สรุปว่าไม่ผ่านกระนั้นก็ดี เพื่อนของคุณพี่เขาอีกคนได้อ่าน resume ผมแล้วถูกใจเลยเรียกไปคุยด้วยต่อเลยรายนั้นเสนอให้ผมเป็นผู้บริหารบริษัทในเครือที่วางแผนจะเปิด ก็อีกแหละครับ สภาพจิตใจของเราตอนนั้นมันไม่ค่อยดี พอได้ยินอย่างนั้นก็เครียดขึ้นมาทันใด พออาทิตย์ต่อมาเขานัดให้ไปคุยกับนายของเขา พี่แกเล่นไม่บอกว่าจะให้คุยเรื่องอะไรและคุยกับใครบ้าง ปรากฏว่านัดที่ห้องประชุม Board พร้อมสมาชิก Board ของบริษัทนั่งกันอยู่ครบ บุคคลในตำนานสื่อบันเทิงเมืองไทยทั้งนั้น ผมไม่แน่ใจว่าผมพูดอะไรไปบ้าง รู้แต่ว่ารู้สึกเวียนหัวเหมือนจะเป็นลมตลอดการสนทนา ท่านประธานไม่ปลื้ม และสงสัยจะทำให้คนที่เขาแนะนำผมเข้าไปเสียหน้าด้วย ผมรู้สึกแย่มากๆ รู้สึกเหมือนว่าโอกาสมาอยู่ตรงหน้าขนาดนี้แล้วแล้วยังทำไม่ได้อีก

มันน่าแปลกว่าถึงเราจะไม่เคยคาดหวังว่าอย่างเราจะได้เป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ หรือ MD ของบริษัทดังๆ แต่พอมีคนหยิบยื่นโอกาสมาให้แล้วเราทำพลาดไป เรากลับเสียใจได้มากมาย ทั้งๆ ที่แต่เดิมเราไม่เคยใฝ่ฝันอาชีพเหล่านั้นเลย แปลกดีครับเรื่องความคาดหวังของคนเรา


ไอ้เราก็คิดไปว่าในที่สุดเราก็จะได้ทำอาชีพอะไรที่พ่อแม่เราเขาเอาไปอวดคนอื่นได้เต็มปาก ว่าลูกฉันเป็นพิธีกร หรือลูกฉันเขาเป็นผู้จัดการบริษัทดัง ไม่ใช่งานแปลกๆ อย่างแอนิเมชั่นหรือ visual effects ซึ่งจนบัดนี้เกือบ 20 ปีผ่านไป คุณแม่ของผมยังไม่ทราบเลยว่า ผมทำงานอะไร หรืองานของผมมันเป็นอย่างไร ดูเหมือนนอกจากท่านจะไม่เข้าใจแล้ว ยังไม่ค่อยจะถูกใจท่านอีกด้วย คุณแม่ยังมาพูดให้ฟังเสมอว่า ลูกของเพื่อนคนนั้นเป็นหมอ คนนั้นเป็นอาจารย์ คนนั้นจบ PhD ตัวที่สองแล้ว เก่งๆ กันทั้งนั้นเลย พ่อแม่ของเขาคงดีใจ เราเองฟังแล้วก็เสียใจ แม่จ๋า ลูกของแม่ก็ไม่ได้เลวร้ายนะ อย่างน้อยยังมีคนเชิญไปพูด ยังได้เป็นตัวแทนประเทศ สมัยที่รับเงินเดือนอยู่ก็ได้เป็นกอบเป็นกำดี เป็นผู้บริหารก็เคยเป็นให้หลายบริษัท ทำไมแม่ถึงได้สะท้อนใจเวลาที่ได้ยินความสำเร็จของลูกคนอื่น


ที่เสียดายที่สุดคงจะเป็นโอกาสที่จะได้ทำอาชีพที่คุณแม่รู้จักและเข้าใจและเอาไปคุยกับเพื่อนๆ ได้นั่นเอง แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ที่ดีที่สุดของการไปพูดคราวนี้คือจะได้มีดโรฑีกับแป้งไปนั่งฟังด้วย ถึงดโรฑีจะยังฟังไม่รู้เรื่อง อย่างน้อยการที่เขาอยู่ตรงนั้นก็จะเป็นกำลังใจให้ผู้พูดเป็นล้นพ้น ว่าทุกสิ่งที่เรารักอยู่กับเราตรงนี้ ทุกสิ่งที่เราต้องการ ทุกสิ่งที่มีความหมายสำหรับเรา นี่คืองานที่เรารักและเป็นงานที่เราทำเพื่อคนที่เรารัก นี่คือชีวิตของเรา ถึงจะไม่เหมือนที่เคยฝันไว้แต่ก็ใกล้เคียง หวังว่าเมื่อดโรฑีโตขึ้นคงจะไม่อายที่มีพ่อเป็นคนสร้างภาพ