10.11.2008

เปลือยชีวิตคุณพ่อ

เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลได้เดี๋ยวเดียวก็ได้กลับเข้าไปอุดหนุนอีกแล้ว สาเหตุเนื่องมาจากยาที่คุณหมอจัดมาให้หมดไปได้สักอาทิตย์หนึ่ง พอดีม้วแต่ไปเที่ยวหัวหินเลยโดดนัดคุณหมอไม่ได้เข้าไปรับยาใหม่ ปรากฎว่าอาการอักเสบก็กลับมาอีก มีไข้สูงและเบาเป็นเลือด อาการดูถ้าจะแย่กว่าคราวก่อน แถมยังทรุดเร็วอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ประมาณว่าอุ้มดโรฑีอยู่ดีๆ ก็หมดแรงหน้ามืด ไข้ขึ้น หนาวสั่น เจ็บในท่อปัสสาวะขึ้นมาแบบชนิดที่ว่า ต้องยอมพาดโรฑีไปฝากคุณย่าอุ้มเดี๋ยวนั้นเลยแล้วโทรไปตามให้แป้งกลับบ้าน คืนนั้นไปโรงพยาบาลแต่คุณหมอเจ้าของไข้ไม่เข้า คุณหมออีกท่านเลยจ่ายยาเดิมเพิ่มให้แต่ลดขนาดลงครึ่งหนึ่ง


วันต่อมาอาการไข้ก็ยังไม่ดีขึ้น เลยรีบกลับไปพบคุณหมอประจำตัว คุณหมอเลยไม่่ให้กลับบ้าน สบายไป ผลเลือดแสดงให้เห็นว่าอาการติดเชื้อคราวนี้รุนแรงกว่าคราวก่อนเสียอีก คุณหมอสงสัยว่าเชื้อโรคอาจดื้อยาเลยสั่งให้นอนหยอดยาปฎิชีวนะและสังเกตอาการ

ผลคือต้องยกเลิก presentation ที่จะต้องไปพูดที่ห้าง Siam Paragon วันรุ่งขึ้น เสียดายสไลด์ Keynote อันงดงานที่นั่งอดหลับอดนอนทำไว้จริงๆ


พอนอนไปได้วันนึง ได้ยาปฏิชีวนะทางสายน้ำเกลือไปสองถุง ก็รู้สึกดีขึ้น จึงอาจหาญไปขออนุญาตคุณหมอกลับบ้าน เพราะวันต่อมามีนัดถ่าย location ที่ต่างจังหวัด ทั้งอยากไปและไม่อยากให้ลูกค้าผิดหวัง พออธิบายให้คุณหมอฟังคุณหมอตอบว่าอย่างนั้นยิ่งให้ออกไม่ได้ใหญ่ คุณหมอว่าไข้อาจกลับมาอีกและอาจขึ้นสูงจนช๊อกได้ในสองชั่วโมง ตอนที่ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกเซ็งๆ แต่ที่ยอมอยู่ต่อก็เพราะกลัวว่าเกิดไปช๊อคหมดสติเข้าจริงๆ ในขณะที่ขับรถอยู่คงไม่ดีกับแป้งและดโรฑีแน่ๆ

พอวันต่อมา ตอนตื่นมาก็ไม่ได้ร้สึกผิดปกติอะไร ยังนึกๆ อยู่ว่ารู้อย่างนี้น่าจะแอบย่องออกไปซะตั้งแต่เมื่อวานเย็นจะได้ไม่ต้องผิดนัดลูกค้า ปรากฏว่าพอใกล้จะถึงเวลาให้ยา ไข้ก็กลับมาอีก จริงอยู่ว่ามันไม่ได้มากขนาดหมดสติ แต่ก็หนักหนาเอาการอยู่ หากเป็นแบบนี้ตอนที่กำลังขับรถอยู่หรือถ่ายงานอยู่คงจะแย่แน่ เรานี่มันไม่เจียมตัวเลยจริงๆ

แต่นั่นแหละครับ ที่สุดแล้วก็ได้กลับมานั่งเขียน blog ให้ทุกท่านอ่านต่อไป ยังดีที่ผลตอบสนองต่อยาทางสายน้ำเกลือค่อนข้างดี เลยกลับบ้านมาทานยาต่อได้ ไม่ต้องกลับไปหยอดยาที่โรงพยาบาลทุกวันให้คุณหมอเยาะเย้ยเอา


setup คราวนี้ต่างไปจากเดิม สาเหตุหลักเป็นเพราะพี่ชายของคุณลูกค้าเขาอยากดูโทรทัศน์ หากวางฉากหลังและไฟตามแบบเดิมก็จะบังโทรทัศน์หมด ผมเลยลองสลับมาจัดตามแนวขวางแทน ยิ่งอาจจะทำให้รู้สึกว่าสตูดิโอน้อยๆ ของเรายิ่งแคบลงไปอีก แต่อย่างน้อยคุณพี่ชายก็มีอะไรไว้ดูแก้เบื่อ การย้าย setup คราวนี้ทำให้ต้องวัดระยะ strobe ใหม่ทั้งหมด แต่ผลที่ได้เป็นที่น่าพอใจ คือสามารถวางตำแหน่ง hi-lite ในตาของนางแบบได้ดีกว่าเดิมโดยไม่มี hi-lite อื่นๆ ที่เกิดจากแสงจากนอกหน้าต่างมารบกวน และด้วยว่า setup นี้หันหลังให้หน้าต่าง แสง ambient จึงค่อนข้างมืดทำให้ม่านตาของนางแบบขยายออกกว้างกว่าเวลาที่ถ่ายใน setup เดิม  hi-lite ที่ใหญ่ขึ้นของ setup ใหม่ บวกกับรูม่านตาที่ขยายใหญ่เพราะไม่ถูกแสงรบกวนจากหน้าต่าง ทำให้ดวงตาของนางแบบน้อยของผมดูใหญ่และเป็นประกาย แผ่นสะท้อนแสงที่เอาไว้ใช้สะท้อนแสงจากหน้าต่างมาเป็น backlight ในคราวนี้เปลี่ยนมาใช้ให้ fill ด้านข้างแทน ทำให้มิติของภาพต่างไปจากเดิม


setup อาทิตย์ต่อมายิ่งแปลกเข้าไปใหญ่เพราะคุณพ่อของนางแบบเขายุขึ้น แค่คุณภรรยายุให้ถอดเสื้อผ้าไปถ่ายนู๊ดคู่กับลูก พอผมหันมาอีกทีเห็นคุณพ่อเขาผลัดจากเสื้อมาเป็นห่มผ้าเช็ดตัวยืนรออยู่เรียบร้อย เขาว่าอยากได้ภาพนู๊ดคู่กับลูกมานานแล้ว ช่วงที่เริ่มถ่ายนางแบบของเรากำลังงอแง จะอยู่แต่ในห้องนอน ไม่ยอมออกมาในบริเวณ setup เลยต้องเปลี่ยนมาใช้ strobe เล็กและใช้แป้งเป็นขาตั้งไฟแบบสั่งการด้วยเสียง แค่บอกว่าให้เล็ง strobe ไปตรงไหนหรือให้ย้ายไปอยู่ตำแหน่งไหนในห้อง ขาไฟรุ่นพิเศษนี้จะรีบจัดให้ทันที แสนรู้จริงๆ ถ่ายด้วย strobe เล็กไปได้พักหนึ่งก็รู้สึกไม่ค่อยถูกใจ แสงแดดจากนอกหน้าต่างไม่เป็นใจ มืดและอมน้ำเงินเขียว ไม่สามารถใช้เสริมมิติของภาพได้เลย ถ้าจะใช้จริงๆ ก็คงต้องปรับความเร็วชัตเตอร์ให้ต่ำมากๆ ซึ่งถึงจะให้บรรยากาศในภาพอย่างที่ต้องการ ก็จะไม่เร็วพอที่จะสามารถหยุดการเคลื่อนไหวของนากแบบตัวน้อยในอ้อมแขนคุณพ่อได้ จึงต้องยอมอย่างนั้นไปก่อน


แสงและเงาเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับภาพถ่ายนู๊ด นู๊ดนั้นไม่ได้หมายถึงว่าแก้ผ้าถ่ายอย่างเดียว หัวใจของงานนู๊ดนั้นอยู่ที่รูปทรง โครงร่าง และพื้นผิวของร่างกายมนุษย์ สิ่งที่ผมอยากได้ในตอนนั้นคือภาพที่เก็บความผูกพัน ความคุ้นเคย ความเข้าใจกัน ระหว่างพ่อกับลูกสาวตัวน้อย โดยที่เน้นโครงร่างที่เปล่าเปลือยของนางแบบและคุณพ่อไว้ด้วย ผมยังนึกอยู่ว่าเสียดายจริงๆ น่าจะบอกกันก่อนว่าอยากถ่ายแบบนี้จะได้จัดไฟรอไว้ให้ ใช้ strobe เล็กดวงเดียวในห้องนอนคงจะไม่ค่อยงามเท่าไร พอถึงช่วงพัก พอดีเป็นการพักทานนมเลยนานหน่อย ผมเลยถือโอกาสออกไปจัดไฟให้ใหม่ที่ setup เดิมที่อยู่ในห้องรับแขก มีเวลาทดสอบไม่มากนัก ต้องรีบให้ทันกับนางแบบน้อย และขณะเดียวกันก็ต้องจัดในแบบที่สามารถเปลี่ยนกลับมาถ่ายภาพเดี่ยวนางแบบน้อยแบบเดิมได้โดยไม่ต้องย้ายไฟกันใหม่ทั้งหมด

ผมเลยจัดไฟไว้สองชุดโดยที่จริงใช้ไฟชุด

เดียวกันเลือกสลับใช้โดยการเปลี่ยนความถี่ของสัญญาน remote  โดยใน setup นู๊ดควบคุม rimlight ด้วย remote แล้ว set ตัว fill ของ setup ภาพเดี่ยวมาเป็น key แทนโดยให้เป็น optical slave ของ rimlight ส่วนไฟ key ของ setup แรกก็ปล่อยไว้อย่างนั้นเพราะมันจะไม่ยิงอยู่แล้วเพราะ remote ของมันตั้งไว้คนละความถี่กับ remote ของตัว rimlight

เวลาที่ถ่ายนู๊ด เฉพาะ rimlight กับ key2 (fill ของ setup แรก) จะยิง

และเมื่ออยากจะเปลี่ยนกลับมาถ่ายภาพเดี่ยวนางแบบตามเดิม ก็แค่เปลี่ยนมาใช้ความถี่ remote ของ key1 เท่านั้น key2 มันก็จะลดตำแหน่งกลายเป็น fill ไปตามเดิม ส่วน rimlight สำหรับนู๊ดก็จะไม่ยิงไปโดยอัตโนมัติ เจ้า setup 2-in-1 ของผมคราวนี้อาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบไปทั้งหมด แต่ก็แอบยิ้มอยู่ในใจว่าเป็นวิธีที่แยบยลมาก เริ่มจะสงสัยนิดๆ ว่าคุณหมอที่โรงพยาบาลแอบใส่อะไรลงไปในสายน้ำเกลือหรือเปล่า ดูเหมือนนายดนพจะฉลาดขึ้นกว่าตอนก่อนเข้ารักษา หรือจะเป็นอาการของคนทีป่วยมากๆ แล้วเพิ่งหายป่วย จะรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ หรือจะเป็นเหตุผลง่ายๆ แค่ว่าแต่เดิมก่อนป่วยเราไม่ได้พักผ่อนจนสมองล้าจนชิน จนคิดไปว่าตัวเราโง่ แต่พอป่วยแล้วได้ไปนอนพักอยู่เฉยๆ อาทิตย์หนึ่ง สมองเลยกลับมาแช่มชื่นตามเดิม แต่ด้วยว่าเคยชินกับสมองเบลอๆ เลยรู้สึกเหมือนว่าตัวเองฉลาดขึ้น แต่ที่แน่ๆ คืนนี้คงเริ่มเบลอๆ แล้วชักจะเขียนไม่รู้เรื่อง ดโรฑีทานนมเสร็จแล้ว ผมขอตัวไปนอนก่อนแล้วกันครับ


 

9.09.2008

ภูเก็ต, บิน, ตังค์?


การได้ทำงานที่เรารักเป็นความสุขอย่างหนึ่ง บางครั้งการทำงานก็ทำให้เราลืมความเจ็บป่วยหรือปัญหาต่างๆ ที่เราเผชิญอยู่ไปได้ หลายๆ ครั้งที่ผมป่วย ผมมักเลือกที่จะออกไปทำงานแทนที่จะนอนพักอย่างที่คนส่วนมากเขาทำกันก็ด้วยเหตุผลนี้ โดยส่วนใหญ่ พอเริ่มทำงานไปได้สักพักเราก็จะเริ่มมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานที่ทำ อาการเจ็บป่วยต่างๆ ก็เหมือนจะหายไปหมด จะเริ่มกลับมาอีกทีก็เมื่องานเสร็จแล้ว แต่เมื่อถึงตอนนั้น เราก็จะกำลังรู้สึกอิ่มเอิบกับงานที่เพิ่งทำสำเร็จไป อาการป่วยมันก็เหมือนจะทุเลาลง ผมเองได้ทำงานมาหลายประเภททั้งสิ่งพิมพ์ แอนิเมชั่น โฆษณาโทรทัศน์ สอนหนังสือ ฯลฯ แต่ผมบอกได้ว่าคงไม่มีงานไหนที่จะทำให้สุขใจและหายป่วยเท่ากับงานถ่ายภาพเด็กครับ ตั้งแต่ขณะแรกที่ลูกค้าตัวน้อยก้าวเข้าประตูมาใจเราก็จะไปจดจ่ออยู่กับเขา เข้าไปทำความรู้จักเขา นั่นก็สร้างความชื่นใจได้ระดับหนึ่งแล้ว 


แต่พอถึงเวลาที่เริ่มถ่ายภาพ เวลาที่ได้มองเขาผ่านช่องมองภาพ เวลาที่กดชัตเตอร์ทุกครั้ง มันเหมือนกับว่าเราได้สร้างงานสิ่งดีๆ ให้ชีวิต เราได้เก็บความน่ารัก ได้หยุดช่วงเวลาที่สำคัญและสวยงามในชีวิตของลูกค้าไว้ให้คงสภาพต่อไป อธิบายลำบากครับ แต่มันรู้สึกเหมือนกับเวลาที่เราทานขนมอะไรที่เราชอบ เราไม่อยากให้มันหมดแต่ในที่สุดมันก็จะหมด แต่ทุกครั้งที่กดชัตเตอร์ มันเหมือนกับว่ามีใครมาคอยเติมขนมนั้นให้เราใหม่ เราจะรู้สึกว่าขนมนั้นมันจะอยู่ให้เราได้ชื่นชมตลอดไป มันเป็นความอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก 


ส่วนที่เหลือเรื่องการปรับ strobe การปรับหน้ากล้องและโฟกัสและอื่นๆ มันเห

มือนกับว่ามือของผมมันเคลื่อนไหวไปเองโดยอัตโนมัติ ผมไม่เคยมานั่งคำนวณขณะถ่ายว่านี่ f เท่าไร ความเร็วเท่าไร แต่มือมันปรับของมันไปเอง ส่วนในหัวมีแต่เรื่องว่าลูกค้าตัวน้อยกำลังจะทำอะไร มีแต่ ขึ้น ลง ซ้าย ขวา ใกล้ ไกล ตรง เอียง ใหญ่ เล็ก ช้า เร็ว มืด สว่าง แล้วตัวเราก็ตอบสนองไปตามนั้นเอง แต่แปลกครับ มันเป็นแค่ความรู้สึก ไม่ได้คิดออกมาเป็นคำๆ เหมือนอย่างเวลาที่ทำอย่างอื่น ใครที่อธิบายได้ว่ามันคืออะไรช่วยขยายความให้ด้วยนะครับ


ตั้งแต่กลับมาจากภูเก็ตผมยังไม่ได้มีโอกาสมาเขียน blog เลยจนวันนี้ สาเหตุเป็นเพราะงานยุ่งมากประกอบกับป่วยครับ กลับจากภูเก็ตก็ตัองสอนต่อกันอาทิตย์กว่าๆ เสาร์อาทิตย์ก็ทำงานถ่ายภาพ อาการป่วยนั้นดูจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่กลับจากภูเก็ตได้สักพัก ดูแล้วคล้ายๆ อาการเดิมๆ คือลำไส้อักเสบ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นอาการประจำตัว พองานยุ่งเมื่อไรพอไม่ได้พักเป็นต้องปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนเป็นประจำ

อาทิตย์แรกก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไร สอนเสร็จก็ออกไปถ่ายงานตามปกติ พอเริ่มกดชัตเตอร์ก็รู้สึกสบายใจ อาการป่วยก็ดูจะทุเลาลง พอถ่ายเสร็จก็รู้สึกสบายดีราวกับไม่เคยป่วยมาก่

อน แต่พอมาอาทิตย์ต่อมาก่อนออกไปถ่ายงานลูกค้าอีกท่าน ปรากฏว่าอาการกลับมา คราวนี้รุนแรงกว่าเดิมมาก แต่ก็ตัดสินใจทำอย่างอาทิตย์ก่อนหน้านั้นคือ ออกไปทำงาน เพราะเชื่อว่าถ้าไ

ด้ทำงานแล้วเดี๋ยวก็คงจะหายเป็นปกติ ปรากฏว่าคราวนี้ไม่หายครับ 


ยิ่งถ่ายงานไปถึงจะยังรู้สึกสนุกแต่ร่างกายกลับยิ่งรู้สึกทรมาณ ถึงขั้นที่ว่าเริ่มจะสงสัยตัวเองว่าเราจะถ่ายจนเสร็จไหวไหม หรือเราจะเป็นลมล้มกลิ่งไปก่อนให้ลูกค้าตกใจ การทำงานนั้นช่วยให้เราลืมอาการป่วยได้จริงครับ เพราะสุดท้ายก็ถ่ายงานจนเสร็จและภาพที่ได้ก็อยู่ในเกณฑ์ดี แต่พอส่งลูกค้ากลับบ้านแล้วถึงได้รู้ว่าเป็นไข้ แป้งก็เลยบังคับให้ไปหาหมอ ปรากฏว่าโรงพยาบาลไม่ยอมให้กลับบ้านครับ นอนแบ่บอยู่หลายวัน เจ้าอาการที่เหมือนลำไส้อักเสบนั้นที่สุดแล้วก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าอักเสบจริงไหม เพราะอาการหลักๆ ที่ทำให้ไข้ขึ้นสูงนั้นกลับกลายเป็นการติดเชื่อที่ต่อมลูกหมากและกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งจัดได้ว่าเจ็บปวดพอสมควรทีเดียว 

ทางโรงพยาบาลใจดีเห็นว่ามีแป้งกับดโรฑีมานอนเฝ้าไข้ด้วยก็เลยจัดห้องให้เป็น

ห้องในปีกเดียวกับแผนกเด็กเพื่อให้สามารถยืมเตียงเด็กมาให้ดโรฑีนอนได้ ผมก็เลยได้ห้องดีพิเศษไปด้วย มีทั้ง HDTV ทั้งคอมพิวเตอร์ฝังในผนังพร้อมแป้นพิมพ์ไร้สาย แต่วันแรกๆ มัวแต่นอนซมอยู่ กว่าจะมีแรงลุกขึ้นมาเล่นก็วันทีสามเข้าไปแล้ว


ส่วนการไปภูเก็ตคราวนี้เรื่องงานจัดได้ว่าสำเร็จระดับพอใช้ แ

ต่ที่น่าพอใจเป็นพิเศษคงเป็นการที่ได้พาดโรฑีไปเที่ยวเป็นครั้งแรก ดโรฑีชอบมากครับ เวลาที่ขึ้นเครื่องบินก็หลับเกือบตลอดทาง ไม่ได้งอแงเลย พอตื่นขึ้นมา มองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินเห็นเมฆกับทะเลก็ส่งเสียงอืออาตื่นเต้น พอเริ่มจะเบื่อก็ปีนข้ามเบาะไปเล่นกับคุณพ่อชาวละตินใจดีที่นั่งอยู่แถวถัดไป ดโรฑีไม่ค่อยชอบอากาศร้อนชื้นในตัวเมืองฯ เท่าไร แต่พอพาออกทะเลไปเที่ยวเล่นน้ำตามเกาะต่างๆ ก็สนุกสนานร่าเริงราวโลมาน้อย 

หลายๆ คนที่มีโอกาสได้เห็นภาพถ่ายจากทริปนี้แล้วต่างต่อว่าผมและแป้งว่า นึกอย่างไรถึงได้พาลูกไปอันตรายและวิบากอย่างนั้น ไม่ร้อนหรือ ไม่กลัวลูกตกน้ำหรือ ปล่อยให้ลูกนั่งเล่นอาหารในจานได้อย่างไร ฯลฯ กลัวครับ กลัวลูกจะได้รับอันตราย กลัวเขาจะกลัว ไม่สนุก กลัวเขาจะป่วย แต่นั่นก็ไม่ต่างอะไรจากเวลาที่อยู่กรุงเทพแล้วพาเขาออกไปซื้อของที่ตามห้างสรรพสินค้า 


จะว่าไปแล้วคุณภาพอากาศแถวอันดามันดีกว่าที่กรุงเทพมาก น้ำทะเลก็สะอาด เข้าตาก็ไม่แสบ ทรายก็นุ่มละเอียด ส่วนเรื่องแดดเรื่องแมลงก็คอยป้องกันให้เขาเป็นพิเศษ คิดไว้ว่าถ้าเขาไม่ชอบก็เลิกแต่นั้น กลับโรงแรม แต่ปรากฏว่าดโรฑีชอบมากครับ ผมกับแป้งก็เลยพลอยตื่นเต้นไปด้วย ชาวเรือที่เห็นดโรฑีร่าเริงก็ชอบ เข้ามาทักด้วยความเอ็นดู เอาของต่างๆ มาให้ บอกว่าไม่เคยเห็นคนไทยพาลูกเล็กๆ มาลอยทะเล พ่อแม่และคุณน้าของดโรฑีก็เลยได้ของฟรีไปด้วย


แล้วส่วนเรื่องที่ผมยอมให้ดโรฑีลงไปนั่งละเลงอาหารในจานน่ะหรือครับ ก็เพราะว่าเราไปเที่ยวไงครับ เราไปเพื่อเห็นสิ่งแปลกใหม่ ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำหรือทำไม่ได้ขณะที่อยู่ที่บ้าน ดโรฑีอยากละเ

ลงจานอาหารมานานแล้วแต่อยู่ที่บ้านเราไม่ให้ทำ คราวนี้เขาไปเที่ยวก็เลยให้เขาได้ลองสักครั้งนึ่งครับ หยิบอาหารเข้าปากทานเองเลย ไม่ชอบอะไรเขาก็จะเอามาวางกลับที่เดิมแล้วผมก็จะรับช่วงต่อไป สนุกดีครับดโรฑีก็สนุก พ่อแม่ของดโรฑีก็สนุกไปด้วย การไปเที่ยวด้วยกันพ่อแม่ลูกของเราถึงจะเหนื่อยกว่าครั้งอื่นๆ ที่มีแต่ผมและแป้ง แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับเราทุกคนครับ 


ผมขอขอบคุณทางคณะผู้จัดงาน Phuket Animation Festival SIPA ภูเก็ตเจ้าเก่าและผู้ประสานงานจากบริษัท Cool Creative ที่เป็นธุระให้ผมและครอบครัวได้เปลี่ยนตั๋วแล้วเปลี่ยนตั๋วอีกจนถึงวินาทีสุดท้ายถึงจะผิตจากแผนเดิมที่วางไว้ไปบ้าง ขอบคุณคุณน้าผู้ซื่อสัตย์ของดโรฑีที่ดั้นด้นติดตามไปช่วยดูแลหลานถึงภูเก็ต และทุกท่านที่ให้ความเอ็นดูครอบครัวน้อยๆ ของเราตลอดการเดินทาง รวมถึงคณะแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลสมิติเวชสุขุมวิทที่ช่วยให้ผมได้กลับมาเลี้ยงดโรฑีและนั่งเขียน blog อีกครั้ง ขอบคุณคุณย่าและคุณยายที่ผลัดกันช่วยดูแลดโรฑีในขณะที่ผมป่วย และขอบคุณแป้งและดโรฑีที่มานอนอยู่เป็นเพื่อนที่โรงพยาบาล ทำให้ผมรู้ว่าต้องรีบหายป่วยไวๆ เพื่อทุกคนที่รักผม

8.08.2008

โตขึ้นฉันจะเป็น . . .


วันนี้นั่งเตรียมเนื้อหาที่จะสอนในคล้าสวันเสาร์ที่จะถึง กะจะให้เป็นคล้าสสุดท้ายแล้วปิดคอร์สไปเลยเพราะเสาร์ถัดไปผมจะไม่ว่าง ต้องบินไปพูดที่ภูเก็ต เรื่องที่เขาให้พูดจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทคนิคการประกอบภาพสำหรับงานภาพยนตร์ จะว่าเกี่ยวกับการถ่ายภาพก็เกี่ยวจะว่าไม่เกี่ยวมันก็ไม่ค่อยจะเกี่ยวกันเท่าไร


ว่าไปแล้วมานึกๆ ดูทั้งคล้าสที่สอนอยู่ ทั้งเรื่องที่เขาเชิญไปพูด ทั้งเรื่องงานถ่ายภาพ มันเป็นคนละเรื่องกันทั้งนั้น คล้าสที่สอนเป็นเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์แอนิเมชั่นในการจำลองฝูงชน (Crowd Behavior 

Simulation) ส่วนที่จะไปพูดเป็นเรื่อง Visual Effects หรือเทคนิคพิเศษในงานภาพยนตร์ เอ ทำไมชีวิตเรามันสับสนอย่างนี้หนอ ถ้าจะมองในแง่ดีก็อาจพูดได้ว่าเราคงเก่งหลายอย่าง แต่ถ้าจะดูอีกแง่หนึ่งอาจจะกลายเป็นว่าเรามันเป็นพวกจับฉ่ายเอาแน่นอนอะไรไม่ได้ บางครั้งเวลาที่ได้รับเชิญไปพูดก็จะถามเขาก่อนว่าเขารู้จักเราในฐานะอะไร ช่างภาพ อาจารย์สอนวิทยาคอมฯ อาจารย์สอนวิชาประกอบภาพ ผู้กำกับแอนิเมชั่น หรืออย่างอื่น ประมาณ 'ทำไมถึงเลือกผมไปพูดล่ะครับ' หรือ 'ชอบผมที่ตรงไหน' ที่แน่ๆ คือเมื่อนึกถึงดนพเขาคงนึกถึงเทคนิควิธีการสร้างภาพชนิดใดชนิดหนึ่ง เพราะเป็นอะไรที่เราทำด้วยใจรักมาตลอดยี่สิบปีหลัง

ทั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาจะเล่นตัว แต่เพราะต้องการทราบความคาดหวังของผู้เชิญ จะได้พูดได้ตรงวัตถุประสงค์ของการจัดงานของเขา


สำหรับที่ภูเก็ตดูเหมือนว่าหนนี้ที่จะลงไปพูดจะเป็นครั้งที่สามหรือสี่นี่แหละเข้าใจว่าที่เขาเชิญมาอีกคงเป็นเพราะคราวที่แล้วเล่นจำอวดบนเวทีได้สนุกสนานถูกใจผู้ชม ในงาน PAF ครั้งแรกนั้นเขาจัดให้ผมพูดในโรงภาพยนตร์ในห้างเซ็นทรัลเฟสติวัลภูเก็ต ไม่ทราบว่าผู้ฟังเขามาจากไหนกัน ไม่ทราบว่าตั้งใจจะมาฟังเรื่องที่ผมจะพูดในคราวนั้น บังเอิญผ่านมา หลบอากาศร้อนเข้ามา หรือว่าถูกต้อนมาจากที่ไหน แต่ในคราวนั้นผู้ฟังมากเกินความคาดหมายจริงๆ ขนาดที่นั่งในโรงภาพยนตร์ไม่พอนั่งต้องนั่งกันตามบันไดทางเดิน ทางผู้จัด SIPA ภูเก็ตเขาฉายงานของเราขึ้นจอภาพยนตร์และปล่อยเสียงเราออกทางลำโพงของโรงด้วยดูยิ่งใหญ่เกินตัวจริงๆ รู้สึกเหมือนได้เป็นดาราอยู่สามชั่วโมงเต็ม สนุกมากครับ แต่จะหวังให้มีอย่างนั้นอีกในคราวนี้คงเป็นไปได้ยาก ทั้งหัวข้อที่พูดทั้งหมายกำหนดการ แถมคราวนี้รู้สึกว่าจะให้ผมไปนั่งพูดอยู่บนเวทีในลานกิจกรรม โอกาสที่จะมีแมวมองผ่านมาเห็นคงน้อยกว่าคราวที่แล้ว


พูดถึงแมวมองกับเรื่องพูดบนเวที มีอยู่คราวหนึ่งเป็นตัวแทนประเทศไปพูดนำเสนอ Super Pitch รอบชิงชนะเลิศที่งาน Asia Media ที่สิงค์โปร์งานนั้นเป็นภาษาอังกฤษ แต่ดีทีว่าซ้อมไว้ก่อนล่วงหน้าหลายวันเลยทำได้ค่อนข้างดี ถึงตัวงานที่นำเสนอสุดท้ายแล้วจะไม่ได้รับรางวัล แต่ปรากฎว่ามี TV Producer อาวุโสชาวไทยจากค่ายดังเดินมาทัก บอกว่าน้องจ๋า กลับไปเมืองไทยเมื่อไหร่ช่วยโทรไปหาหน่อยนะ มีงานอยากให้ลองทำ ตอนนั้นมัวแต่เสียใจว่างานที่เราอุตสาห์นำเสนอไม่ได้เข้ารอบ เลยไม่ได้สนใจที่เขาพูดเท่าไร กลับมาเมืองไทยก็ลอง email ไปพร้อมกับ resume เพราะไม่แน่ใจว่าเขาอยากให้เราไปทำงานอะไร เลขาของเขาก็นัดเข้าไปคุย ปรากฎว่าเขาเห็นแววว่าน่าจะเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์รายการใหม่ของเขาได้ 


ไม่พูดพล่ามทำเพลงโยนบทมาให้ตรงหน้าปึ๊งนึง ว่าแล้วก็โทรเรียกช่างกล้องกับ Producer น้อยเข้ามาบอกว่าจะ screen test ผมสดๆ ตรงนั้น ถ้าเป็นตอนนี้ก็คงจะทำได้สบายๆ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ในตอนนั้นกำลังอยู่ในช่วงเครียดๆ กลัวๆ กับการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างในชีวิตช่วงนั้น เลยเกิดอาการแพ้กล้องขึ้นมาทันใด ปากคอสั่นไปหมด พี่ Producer เขามองอย่างงงๆ และปลงๆ ว่านี่มันเป็นคนเดียวกับที่เราเจอที่สิงค์โปร์แน่หรือ สรุปว่าไม่ผ่านกระนั้นก็ดี เพื่อนของคุณพี่เขาอีกคนได้อ่าน resume ผมแล้วถูกใจเลยเรียกไปคุยด้วยต่อเลยรายนั้นเสนอให้ผมเป็นผู้บริหารบริษัทในเครือที่วางแผนจะเปิด ก็อีกแหละครับ สภาพจิตใจของเราตอนนั้นมันไม่ค่อยดี พอได้ยินอย่างนั้นก็เครียดขึ้นมาทันใด พออาทิตย์ต่อมาเขานัดให้ไปคุยกับนายของเขา พี่แกเล่นไม่บอกว่าจะให้คุยเรื่องอะไรและคุยกับใครบ้าง ปรากฏว่านัดที่ห้องประชุม Board พร้อมสมาชิก Board ของบริษัทนั่งกันอยู่ครบ บุคคลในตำนานสื่อบันเทิงเมืองไทยทั้งนั้น ผมไม่แน่ใจว่าผมพูดอะไรไปบ้าง รู้แต่ว่ารู้สึกเวียนหัวเหมือนจะเป็นลมตลอดการสนทนา ท่านประธานไม่ปลื้ม และสงสัยจะทำให้คนที่เขาแนะนำผมเข้าไปเสียหน้าด้วย ผมรู้สึกแย่มากๆ รู้สึกเหมือนว่าโอกาสมาอยู่ตรงหน้าขนาดนี้แล้วแล้วยังทำไม่ได้อีก

มันน่าแปลกว่าถึงเราจะไม่เคยคาดหวังว่าอย่างเราจะได้เป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ หรือ MD ของบริษัทดังๆ แต่พอมีคนหยิบยื่นโอกาสมาให้แล้วเราทำพลาดไป เรากลับเสียใจได้มากมาย ทั้งๆ ที่แต่เดิมเราไม่เคยใฝ่ฝันอาชีพเหล่านั้นเลย แปลกดีครับเรื่องความคาดหวังของคนเรา


ไอ้เราก็คิดไปว่าในที่สุดเราก็จะได้ทำอาชีพอะไรที่พ่อแม่เราเขาเอาไปอวดคนอื่นได้เต็มปาก ว่าลูกฉันเป็นพิธีกร หรือลูกฉันเขาเป็นผู้จัดการบริษัทดัง ไม่ใช่งานแปลกๆ อย่างแอนิเมชั่นหรือ visual effects ซึ่งจนบัดนี้เกือบ 20 ปีผ่านไป คุณแม่ของผมยังไม่ทราบเลยว่า ผมทำงานอะไร หรืองานของผมมันเป็นอย่างไร ดูเหมือนนอกจากท่านจะไม่เข้าใจแล้ว ยังไม่ค่อยจะถูกใจท่านอีกด้วย คุณแม่ยังมาพูดให้ฟังเสมอว่า ลูกของเพื่อนคนนั้นเป็นหมอ คนนั้นเป็นอาจารย์ คนนั้นจบ PhD ตัวที่สองแล้ว เก่งๆ กันทั้งนั้นเลย พ่อแม่ของเขาคงดีใจ เราเองฟังแล้วก็เสียใจ แม่จ๋า ลูกของแม่ก็ไม่ได้เลวร้ายนะ อย่างน้อยยังมีคนเชิญไปพูด ยังได้เป็นตัวแทนประเทศ สมัยที่รับเงินเดือนอยู่ก็ได้เป็นกอบเป็นกำดี เป็นผู้บริหารก็เคยเป็นให้หลายบริษัท ทำไมแม่ถึงได้สะท้อนใจเวลาที่ได้ยินความสำเร็จของลูกคนอื่น


ที่เสียดายที่สุดคงจะเป็นโอกาสที่จะได้ทำอาชีพที่คุณแม่รู้จักและเข้าใจและเอาไปคุยกับเพื่อนๆ ได้นั่นเอง แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ที่ดีที่สุดของการไปพูดคราวนี้คือจะได้มีดโรฑีกับแป้งไปนั่งฟังด้วย ถึงดโรฑีจะยังฟังไม่รู้เรื่อง อย่างน้อยการที่เขาอยู่ตรงนั้นก็จะเป็นกำลังใจให้ผู้พูดเป็นล้นพ้น ว่าทุกสิ่งที่เรารักอยู่กับเราตรงนี้ ทุกสิ่งที่เราต้องการ ทุกสิ่งที่มีความหมายสำหรับเรา นี่คืองานที่เรารักและเป็นงานที่เราทำเพื่อคนที่เรารัก นี่คือชีวิตของเรา ถึงจะไม่เหมือนที่เคยฝันไว้แต่ก็ใกล้เคียง หวังว่าเมื่อดโรฑีโตขึ้นคงจะไม่อายที่มีพ่อเป็นคนสร้างภาพ

8.05.2008

สวยใสและไฟส่อง


เมื่อวันอาทิตย์ก่อนมีนัดถ่ายลูกค้าสองท่านน้องแพทตี้และน้องคุณที่สตูดิโอชั่วคราวในซอยทองหล่อ เป็นห้องกึ่ง loft ที่ซื้อและตกแต่งเอาไว้กะว่าจะอยู่กับแป้งสองคนตายาย พอมีดโรฑีเพิ่มเข้ามาอีกคนกลับกลายเป็นว่าห้องนี้แคบไปหน่อยเลี้ยงเด็กเล็กไม่สะดวก เลยหอบข้าวของกลับไปอยู่ที่บ้านและใช้ loft เป็นสตูดิโอไปก่อนจนกว่างานปรับปรุงบ้านและก่อสร้างสตูดิโอถาวรจะเสร็จ ข้อดีของ loft นี้คือมีหน้าต่างกระจกบานสูงยาวตลอดทั้งห้องสามารถใช้เป็น daylight studio ได้ แต่เดิมที่เลือกซื้อห้องนี้ก็เพราะชอบสภาพแสงในห้อง คิดไว้ว่าหากสักวันอยากใช้เป็นสตูดิโอถ่ายภาพก็สามารถใช้ได้เลย เลยได้ทำส่วนยกพื้นและวางตำแหน่งปลั๊กไฟเตรียมไว้ด้วย


setup คราวนี้คล้ายกับคราวที่แล้ว เพียงแต่วันนั้นแดดแรงมาก ต้องรวมเอาแสงแดดจากข้างนอกเข้ามาประกอบการคำนวณการจัดแสงด้วย ท่านผู้รู้เคยสอนไว้ว่าถึง strobe ของเราจะแรงแค่ไหน เราก็ไม่ควรพยายามไปแข่งกับแสงแดด หากมีแดดอยู่แล้วก็พยายามใช้ประโยชน์จากแสงนั้น อีกอย่างหนึ่งที่มีผลกับการจัดแสงในครั้งนี้คือกระจกหน้าต่างที่เป็น

กระจกกรองแสงอ่อนๆ แสงที่ผ่านกระจกมามีสีออกเขียว ดีที่ว่าเมื่อไปสะท้อนกับข้างฝาอีกด้านหนึ่งของห้องที่เป็น Hi-gloss สีขาวก็เลยให้แสงสะท้อนที่ออกขาวเย็นๆ ไม่ได้เขียวมาก แต่ถึงอย่างไรก็ต้องหาวิธีขจัดออกเพราะกล้วจะมีผลต่อความอิ่มของสีอื่นๆ ในภาพ


คราวที่แล้วพูดเรื่องกล้องไปเยอะ (หรือเยอะไป?) คราวนี้พูดเรื่องแสงบ้างดีกว่า ที่จริงแล้วโดยส่วนตัวผมว่าแสงนั้นสำคัญกว่าชนิดของกล้องที่ใช้เสียอีก เพราะที่จริงการถ่ายภาพนั้นก็คือการสร้างภาพด้วยแสงที่มีอยู่ หากไม่มีแสง เราก็มองไม่เห็น ไม่มีความสวยงาม และก็ไม่มีภาพถ่ายด้วย ดังนั้นแสงจึงเป็นหัวใจของภาพถ่าย กล้องเป็นเพียงอุปกรณ์สำหรับบันทึกแสงที่สวยงามเหล่านั้นไว้ชั่วกาลนาน (โรแมนติกมากๆ )


strobe และอุปกรณ์ปรับสภาพแสงต่างๆ จึงสำคัญไม่แพ้กล้องหลายๆ คนที่ผมเคยพบมักบอกว่า เขาถ่ายภาพด้วยแสงธรรมชาติ ไม่ชอบใช้แฟลช ถ้าทำอย่างนั้นได้ตลอดก็ดีครับ ถ้าแสงจะเป็นใจกับคุณในทุกครั้งที่ถ่ายภาพ แต่ในความเป็นจริงการใช้แฟลชไม่ได้ทำให้ภาพที่ออกมาไม่เป็นธรรมชาติ คนส่วนมากกลัวการใช้แฟลชเพราะเขาคุ้นเคยกับภาพถ่ายของคนคุ้นเคยที่หน้ามันแผลบ ขาวเว่อ หรือตาแดงเพราะแสงแฟลช อีกส่วนหนึ่งคือพวกที่ผ่านจุดนั้นมาได้โดยค้นพบการยิงแฟลชสะท้อนเพดานหรือข้างฝาแทนการยิงตรงๆ พวกนี้ก็จะยึดติดกับการ bounce แฟลช จะถ่ายอะไรที่ไหนเมื่อไหรก็ bounce ตลอดทำให้ได้ภาพซ้ำๆ แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีครับ 


สำหรับตัวผมเองเริ่มจะมาสนใจศึกษา

การจัดแสงอย่างจริงจังก็สมัยที่ทำงาน 3D animation เพราะการสร้างภาพในโปรแกรม 3D ต้องอาศัยความรู้เรื่องแสงอย่างลึกซึ้ง แต่เดิมสมัยเรียนอยู่ที่อเมริการู้เพียงแค่ทฤษฎีอย่างคร่าวๆ ไปไหนก็มีแฟลชแบบหลอดเปลือยติดตัวไปด้วยเพื่อใช้เป็น fill light สำหรับการถ่ายภาพกลางแจ้งเท่านั้น ไม่เคยคิดจะใช้ flash เป็นแสงหลักเพราะคิดไปว่าทำอย่างไรก็ไม่เป็นธรรมชาติเท่าแสงแดดแน่ๆ


แสงสำหรับงานถ่ายภาพเด็กของผม ผมพยายามใช้แสงที่เป็นธรรมชาติ ออกแนวสว่างสดใส แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามใช้แสงในการช่วยขับความกลมกลึงและความใสของผิวเด็กๆ ออกมาด้วย เพราะผมเห็นว่าเป็นจุดเด่นที่นำเสนอความน่ารักของเด็กๆ ในขณะเดียวกันผมจะใช้แฟลชกำลังต่ำที่สุดที่สามารถทำได้ในแต่ละ setup เพื่อไม่ให้เกิดแสงจ้ารบกวนลูกค้าผู้น่ารักของผม และ setup ทั้งหมดนั่นก็ต้องไม่เข้ามาขัดขวางการทำงานหรือสัมพันธภาพอันดีระหว่างผมกับลูกค้าด้วย


ที่จริงแล้วการถ่ายภาพโดยใช้แฟลชให้เหมือนแสงธรรมชาติไม่ใช่เรื่องยาก แสงที่ได้จากแฟลชก็เหมือนกับแสงที่เราเห็นจากหลอดไฟ มันอาจจะคล้ายแสงของหลอดใสแบบกลมกว่าหลอดอย่างอื่น เทคนิคอะไรก็ตามที่นักออกแบบภายในหรือผู้ออกแบบโคมไฟใช้ เพื่อเปลี่ยนให้แสงจ้าๆ จากหลอดไฟนั้นกลายเป็นแสงที่นุ่มนวลสบายตา ก็สามารถนำมาใช้กับแสงแฟลชได้เช่นเดียวกัน

เวลาที่เราจัดแสงเพื่อถ่ายภาพ ให้พยายามจินตนาการว่าแฟลชของเราคือหลอดไฟธรรมดาดวงหนึ่ง อย่าไปนึกว่ามันแปลกประหลาดพิศดารเพียงเพราะว่ามันสว่างแค่คราวละวาบเดียว เริ่มจากดวงเดียวก่อนหากยังไม่ได้ผลอย่างที่ต้องการก็ค่อยคิดว่าจะเพิ่มอีกดวงดีไหม ตรงไหน และจะปรับสภาพแสงของมันอย่างไร (ทิศทาง ความสว่าง ความคม สี ขนาด) ความแตกต่างที่หลักๆ คงเป็นแค่การควบคุมความสว่างของแสงแฟลชที่จะปรากฏในภาพถ่ายที่แตกต่างจากการควบคุมแสงแบบที่สว่างต่อเนื่อง เราควบคุมแสงแฟลชในภาพถ่ายได้โดยใช้หน้ากล้องเป็นหลัก ความเร็วของชัตเตอร์แทบจะไม่มีผลต่อการควบคุมปริมาณของแสงแฟลชบนภาพเลย

หลายท่านอาจแย้งว่า ดนพคงจะเพี้ยน ถ้าแฟลชดวงเดียวยังทำให้แสงในภาพผิดธรรมชาติแล้วเพิ่มเข้าไปอีกหลายๆ ดวงมันไม่ยิ่งเละหรือ ไม่เละหรอกครับ ยิ่งเพิ่มยิ่งดี แต่เราต้องรู้ว่าเราเพิ่มเข้าไปเพื่ออะไร


แสงที่เราเห็นในสถานการณ์ปกติมักเกิดจากแหล่งกำเนิดหลักเพียงแหล่งเดียว เช่น แสงในห้องของเราเวลากลางวัน อาจเกิดจากแสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาเพียงอย่างเดียวนั่นคือมีดวงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดแสง แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นและเป็นสิ่งที่จะทำให้แสงในห้องดูเป็นแสงธรรมชาติ คือการที่วัตถุต่างๆ ในห้องตอบสนองต่อแสงแดดนั้น การสะท้อนของแสงจากวัตถุชิ้นหนึ่งไปยังชิ้นอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง สีของของชิ้นหนึ่งที่สะท้อนไปบนของอีกชิ้นหนึ่ง ความสว่างของแสงสะท้อนที่ต่างกันระหว่างพื้นผิวของวัตถุต่างชนิดกัน เงา ความฟุ้งหรือความเข้มของเงา รูปร่างของมัน ฯลฯ เหล่านี้ทั้งหมดรวมกันทำให้เกิดแสงที่เรารู้สึกว่าเป็นธรรมชาติ เกิดน้ำหนักของภาพที่เหมาะสม


หากเราสามารถเลียนแบบลักษณะคร่าวๆ ของสภาพแสงในห้องนี้ได้โดยใช้แฟลชหลายๆ ดวงแทนแหล่งกำเนิดแสงย่อยๆเหล่านั้น เราก็จะสามารถสร้างความรู้สึกของแสงธรรมชาติได้เช่นกันในช่วงเวลาไหนก็ได้แม้แต่ในเวลากลางคืนที่ไม่มีแสงแดด แฟลชดวงหนึ่งแทนแสงแดดจากนอกหน้าต่าง อีกดวงแทนแสงสีน้ำตาลแดงที่สะท้อนจากพื้นไม้ อีกดวงแทนแสงที่สะท้อนจากฝาผนังห้องอีกฝั่ง เป็นต้น


ลองนึกกึงภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่คุณชอบสักเรื่อง ภาพที่เราเห็นบนจออาจดูเหมือนตัวละครกำลังอยู่ในห้องที่มีแสงแดดยามเช้าอบอุ่นส่องเข้ามา แต่ที่จริงแล้วทุกอย่างเป็นเพียงสมมติ ตอนที่เขาถ่ายเขาก็ถ่ายในโรงถ่าย แสงที่เห็นเหมือนแสงแดดสะท้อนอยู่ในห้องและแสงสวยๆ ที่ตกบนหน้านางเอกก็ไม่ใช่แสงแดด แต่เป็นไฟไม่รู้กี่สิบดวงที่ห้อยอยู่บนราวเพดานในโรงถ่าย ถ้าไฟในโรงถ่ายหลอกคุณว่านางเอกสุดสวยกำลังนั่งอยู่ในห้องตอนเช้าได้ แฟลชของคุณหากวางให้ถูกตำแหน่งพร้อมอุปกรณ์ปรับแต่งแสงที่เหมาะสมก็ย่อมจะสามารถสร้างความรู้สึกอย่างเดียวกันได้


ไม่แตกต่างกันครับ แสงไฟ tungsten หรือ HMI ในโรงถ่ายที่ส่องสว่างอยู่ตลอดเทค หรือแฟลชของคุณที่สว่างคราวละ 1/2000 วินาที เพราะอย่างนี้อย่าไปกลัวแฟลชครับ ลองหัดสังเกตแสงรอบๆ ตัวเรา ชอบอย่างไหนก็ลองพิจารณาดูว่าสภาพแสงแบบนั้นมันเกิดจากองค์ประกอบอะไรบ้าง แล้วมาลองจำลองสภาพแสงนั้นโดยใช้ แฟลชแทน ไม่ยากหรอกครับ ยิ่งเดี๋ยวนี้มีกล้องดิจิตอล ถ่ายไป ปรับไฟไป ปรับหน้ากล้องไป ดูผลลัพธ์ที่ได้บนหน้าจอไป ฟิล์มก็ไม่ต้องล้าง เดี๋ยวเดียวก็แจ่มครับ

7.30.2008

ว่าด้วยกล้อง


บางท่านสงสัยว่า ผมใช้อุปกรณ์อะไรในงานถ่ายภาพเด็ก ล่าสุดเป็นคุณแม่ของลูกค้าตัวน้อยที่เพิ่งแวะมาที่ loft ของเรา หลังจากที่เห็นกล่องอุปกรณ์ของผมแล้วก็สงสัยว่าเจ้าดนพนี่มันมีกล้องกี่ตัวกันแน่ คงสงสัยด้วยว่าหรือมันจะมีกล้องสำหรับแอบถ่ายซ่อนไว้ในห้องน้ำลูกค้าด้วย ที่จริงแล้วมีไม่มากครับ และไอ้ที่อยู่ในห้องน้ำนั้นถ้าหาเจอมันไม่ใช่ของผมครับ (ล้อเล่นครับ ไม่มีหรอก) ที่ดูเหมือนมากนั้นเป็นเพราะผมมักจะขนอุปกรณ์ที่มีไปทำงานด้วยเกือบทั้งหมดในคราวเดียวเหมือนบ้าหอบฟาง เหตุผลคือ เราไม่รู้ว่าเราอาจมีความจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ชิ้นใดชิ้นหนึ่งขึ้นมาเมื่อไร แต่ละชิ้นก็ล้วนแต่มีความสามารถเฉพาะของมันเหมาะสมกับแต่ละประเภทงาน แต่ที่สำคัญที่สุดคือมันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยหากถูกทิ้งไว้ในตู้เก็บที่บ้าน ไม่ได้เอาไปทำงานด้วย


เรื่องของเรื่องคือ ผมใช้อะไรไม่ค่อยเหมือนคนอื่นเขา อุปกรณ์ส่วนใหญ่ของผมเป็นของตกทอดมาจากยุคฟิล์มบางชิ้นใช้มาตั้งแต่สมัยเรียนบางชิ้นมาซื้อเพิ่มเติมทีหลังตามความค้องการของงานหรือเพื่อการทดลองที่กำลังสนใจอยู่ในชณะนั้น ผมไม่ใช่นักสะสมกล้อง ผมมีกล้องไว้เพื่อใช้งาน และโดยส่วนตัวแล้วผมชอบวัดแสงและตั้งค่าด้วยตัวเอง ของที่เลือกใช้ส่วนใหญ่จึงไม่เน้นฟังก์ชั่นใหม่เลิศหรู แต่จะเน้นที่ความเที่ยงตรง ระบบควบคุม manual ที่ครบ ความคงทน และความถนัดมือขณะใช้งาน และทั้งหมดไม่ใช่กล้องรุ่นใหม่สุดแม้แต่ตอนที่เพิ่งซื้อมา ผมไม่ชอบเป็นหนูทดลองให้ใครและจะลงทุนเฉพาะกับอุปกรณ์ที่ (คนอื่นและตัวเอง) ทดสอบแล้วเท่านั้น


กล้องเป็นเพียงกล่องทึบแสงที่มีเลนส์ติดอยู่ข้างหนึ่งและมีสื่อรับภาพชนิดใดชนิดหนึ่งติดอยู่ด้านตรงข้าม ความสามารถอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการปรับความเร็วชัตเตอร์ โฟกัส และหน้ากล้องถือเป็นอุปกรณ์เสริมการขายทั้งสิ้น น่าแปลกที่ฟังก์ชั่นพิ้นฐานที่สุดที่กล้องพึงจะมีกลับถูกยกมาใส่ไว้ในกล้องรุ่นที่แพงขึ้น ส่วนกล้องระดับรองๆ ลงมากลับมีฟังก์ชั่นอัตโนมัติต่างๆ มากมาย กล้องยิ่งถูกยิ่งคิดแทนคุณวัดแสงปรับหน้ากล้องแทนให้ ส่วนกล้องแพงๆ กลับไม่ทำอะไรเหล่านั้นให้คุณเลย เหมือนว่าคุณจ่ายแพงกว่าเพื่อให้ได้ฟังก์ชั่นน้อยลง แต่ที่จริงคือคุณจ่ายแพงกว่าเพื่ออิสระทางความคิด เพื่อให้สามารถสร้างภาพอย่างที่คุณต้องการได้สมใจ การถ่ายภาพเป็นงานที่อาศัยความคิดสร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์อาจจะไม่ต้องการฟังก์ชั่นพิศดาร แต่มันต้องการอิสระในการแสดงออก บริษัทผู้ผลิตกล้องคงเข้าใจข้อนี้ดีเลยสร้าง product line อย่างที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน (กล้องราคาถูกคิดแทนคุณ)


กล้องที่ผมเห็นว่าสมบูรณ์แบบที่สุดที่ผมมีเป็นกล้องพิ้นฐานสุดๆ คือ

กล้อง Leica IIIa ซึ่งผลิตในปี 1935 ซึ่งตอนนี้ก็อายุ 70 กว่าปีเข้าไปแล้ว คือเรียกได้ว่าอยู่มาตั้งแต่สมัยที่เริ่มมีฟิล์ม 35mm มาเลย IIIa ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าที่กล้องถ่ายภาพควรจะมี เป็นระบบไขลาน ไม่ต้องใช้ถ่าน ชัตเตอร์ทำจากผ้าใบเคลือบยาง เปลี่ยนเลนส์ได้และมีเลนส์คุณภาพสูงให้เลือกมากมาย เบา เล็ก เงียบ ทน เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของมือเรา ใช้ง่ายทำให้เราสามารถจดจ่ออยู่กับภาพที่จะถ่ายได้เต็มที่ ปัจจุบันผมยังใช้กล้องนี้ถ่ายภาพครอบครัวอยู่ (ดูภาพแป้งในร้านอาหาร ถ่ายด้วยเลนส์ Elmar 50 3.5 ซึ่งเก่ากว่าตัวกล้องซะอีก)

หลายท่านอาจเห็นว่าแปลกที่ IIIa แม้จะเป็นกล้อง 35mm รุ่นแรกๆ ของโลกแต่ก็สามารถให้ภาพที่คุณภาพเหมือนกับที่ได้จากกล้องรุ่นใหม่ล่าสุดในปัจจุบัน แต่ที่จริงแล้วนั่นเป็นเพียงข้อพิสูจน์ว่า ภาพถ่ายที่ดีนั้นเกิดขึ้นโดยช่างภาพเป็นหลักไม่ใช่ด้วยตัวกล้อง


ที่คล้ายๆ กันและยังใช้ทำงานด้วยคือ Leica M3 ปี 1955 ซึ่งใหม่กว่า IIIa 20 ปีแต่การทำงานยังคล้าย

คลึงกัน สาเหตุที่ยังใช้ M3 ทำงานได้เป็นเพราะ M3 สามารถใช้กับเลนส์ในยุคปัจจุบันที่มีคุณภาพสูงได้ Leica M3 เงียบกว่า IIIa อีก แต่ขนาดเทอะทะไปหน่อย แต่กล้องนี้สามารถเก็บความรู้สึกและบรรยากาศลงเป็นภาพได้ดีเลิศ ภาพที่คุณเห็นในช่องมองภาพของมันไม่ใช่ภาพที่จะปรากฎบนฟิล์มเหมือนกล้อง SLR แต่มันมีอะไรมากกว่านั้นแฝงอยู่เสมอ อธิบายยาก ภาพที่ถ่ายด้วย M3 เช่นภาพวัดพระแก้วและพระราชวังบางปะอิน


ส่วนกล้อง 35mm และ ดิจิตอลที่เหลือเป็นของ Nikon ทั้งหมดเพราะใช้เลนส์ชุดเดียวกันได้ ไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่สำหรับกล้องแต่ละตัว สำหรับฟิล์มผมใช้ FE2, F3HP และ F4s ส่วนดิจิตอลเป็น D200 และ D2Xs ซึ่งเป็นกล้องหลักในปัจจุบัน เพื่อนๆ ชอบถามว่าไม่อยากเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ๆ อย่าง D3 D300 หรือ D700 หรือ ผมเห็นว่าไม่มีความจำเป็นครับ D2Xs สามารถแยกแยะความละเอียดได้สูงกว่ากล้องรุ่นใหม่ทั้งหมดที่ว่ามาคือ 2800lp สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาใน D3, 300 และ 700 คือระบบประมวลผลซึ่งปรับแต่งภาพให้ใสเด้งเกินจริงเหมือนมี Photoshop (หรือ CaptureNX) อยู่ในกล้อง ระบบปรับโฟกัสอัตโนมัติแบบใหม่ และสำหรับ D3 และ D700 คือจอรับภาพรุ่นใหม่ที่ให้ภาพในสัดส่วนเท่ากับกล้อง 35mm แต่นั่นก็หมายถึงว่ามันมีขนาด pitch ที่ห่างกว่า D2Xs ที่ใช้จอรับภาพขนาดเล็กกว่าทำให้ไม่สามารถแยกแยะรายละเอียดได้ดีเท่า D2Xs (2600 vs 2800lp) ถึงแม้ว่าเม็ดรับภาพที่ใหญ่ขึ้นจะทำให้ทั้งสองรุ่นมีความไวแสงสูงกว่า D2Xs มากก็ตาม งานของผมถ่ายที่ระดับความไวแสงต่ำ(ให้คุณภาพของภาพสูงกว่า) ผมปรับโฟกัสด้วยมือ สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาในกล้องใหม่ทั้งสามรุ่นจึงไม่มีผลต่อคุณภาพงานโดยรวมของผมเลย ส่วนความละเอียดสีที่เพิ่มขึ้นจาก 12 เป็น 14 bit เรื่องนี้ยังตอบได้ไม่เต็มปากครับ แต่เอาเป็นว่า ภาพที่เราเห็นในภาพยนตร์เรื่องดังทั้งหลายนั้นเป็นภาพจากไฟล์ระบบ Cineon หรือ DPX ซึ่งให้ความละเอียดสีอยู่ที่ 10 bit เท่านั้น


ก็อีกนั่นแหละผู้คนก็ถามอีกว่าแล้วเรื่องความละเอียดของจอรับภาพล่ะดนพ? ทำไมไม่ใช้พวก 21MP อย่าง Canon EOS 1Ds mk III คงไม่ล่ะครับ แค่ชื่อรุ่นก็เวียนหัวพอแล้ว 1Ds mk III เป็นกล้องดีเลิศครับ ใครที่ใช้อยู่คงมีความสุขกับมันมาก และผมยอมรับว่าความสามารถในการแยกแยะรายละเอียดของมันสูงกว่า D2Xs อยู่พอตัว (2800 vs 3300lp) แต่ในระดับราคาที่สูงกว่ามาก แถมยังใช้กับเลนส์ประดามีที่ผมสะสมมาไม่ได้อีกด้วย

12MP ที่ใช้อยู่อัดขยายได้สูงสุดถึง 16x20 นิ้วซึ่งผมว่าใหญ่เกินพอสำหรับงานถ่ายภาพเด็ก แต่ถ้าหากลูกค้าท่านใดอยากได้ภาพลูกรักไปขยายติดข้างตึก 30 ชั้นจริงๆ ล่ะก็ ผมยังมี . . .


Mamiya RB67 ซึ่งใช้ฟิล์ม 120 ขนาดเดียวกับโรงหนัง IMAX ซึ่งเมื่อสแกนให้เป็นดิจิตอลหรือใช้กับจอรับภาพดิจิตอลซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมแล้วจะให้ขนาดภาพประมาณ 50MP ซึ่งน่าจะพอสำหรับงานพิมพ์ทุกชนิดทั้งในโลกนี้และโลกหน้า


อย่าลิมว่าภาพโปสเตอร์หนังดังๆ ของ Universal Pictures ส่วนใหญ่ถ่ายโดยนายJasin Boland ล้วนแล้วแต่มาจากกล้อง 12MP ทั้งสิ้น แต่ไม่ทราบว่านาย Jasin จะเลือกใช้ D2Xs ด้วยสาเหตุเดียวกับผมหรือจะเป็นเพราะภรรยาของเขาไม่ยอมให้ซื้อกล้องใหม่ก็ไม่ทราบ

ขอบพระคุณแฟนเพลงทุกท่าน

ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตาม A Baby Shooter's Blog ของเราครับ ผล vote ของสัปดาห์แรกของเราออกมาแล้ว ถึงจะมีผู้อ่าน vote กันค่อนข้างน้อย แต่ผลก็ออกมาว่าผู้อ่านส่วนใหญ่ต้องการอ่านเรื่องเกี่ยวกับเทคนิคการถ่ายภาพเด็ก ผมก็ยินดีจะจัดให้ตามนั้นครับ

สำหรับผู้อ่านบางท่านที่ไม่ทราบว่า vote อย่างไร ขอให้ดูด้านขวามือของหน้าจอนี้ จะเห็นหัวข้อลงคะแนนประจำสัปดาห์พร้อมตัวเลือก ชอบข้อไหนก็ลงคะแนนได้เลยครับ ใครๆ ก็ลงคะแนนได้ไม่ต้องเป็นสมาชิกครับ


ส่วนท่านที่เขียนมาขอให้แจ้งให้ทราบหากมีบทความใหม่ A Baby Shooter's Blog เป็นระบบ RSS หรือ Really Simple Syndicate ครับ นั่นหมายถึงท่านสามารถคลิกที่เครื่องหมาย RSS ที่อยู่ด้านขวามือของหน้าจอนี้เพื่อสมัครรับบทความของเราทาง email หรือทาง browser ที่รองรับระบบ RSS ได้ทันที ทุกครั้งที่มีบทความใหม่ระบบจะส่งบทความไปถึง mailbox ของท่านโดยอัตโนมัติ รับรองว่าไม่ต้องพลาดตอนหนึ่งตอนใดแน่นอนครับ บทความในส่วนที่เป็น RSS ของเราสามารถอ่านได้บนอุปกรณ์สื่อสารมือถือทุกชนิดที่รองรับภาษาไทย unicode และ ​HTML ครับ


และหากท่านมีความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะ หรืออยากฝากอะไรถึงครอบครัวน้อยๆ ของเรา สามารถทำได้โดยคลิกที่ลิ๊งค์ที่ชื่อ comments ด้านล่างของแต่ละบทความครับ


ขอบคุณครับ

7.18.2008

ขวัญใจของช่างภาพมือเดียว

ช่วงนี้ขนาดเปลี่ยนมาทำอาชีพอิสระอยู่ที่บ้าน หน้าที่การงานนอกบ้านก็ชักจะเริ่มมาเคาะประตูบ้านอยู่รำไร แต่เดิมสมัยทำงานประจำอยู่เคยยุ่งมาก แต่พอแต่งงานแล้วก็ต้องโดดประชุม ทิ้งลูกน้องทำงานข้ามคืนตามลำพัง ยอมให้คนอื่นล้างสมองลูกทีมขณะที่เราไม่อยู่ บางทีก็ยกเครดิตของงานที่เราทำมาให้คนอื่นไป สารพัด งานอย่างนี้มันไม่ใช่งาน 9-5 โมง หากยังไม่เสร็จก็คือยังไม่มีใครได้กลับบ้าน บางครั้งสมัยยังโสดเคยนั่งทำงานต่อกันไม่ได้กินไม่ได้นอน 5 วันติดๆ กัน ตอนก่อนแต่งงานดนพได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์อมตะไม่ต้องหลับไม่ต้องกินข้าว ไม่เคยทิ้งลูกน้องกลับบ้านก่อน อยู่จนเสร็จงาน แต่ตั้งแต่แต่งงานกลายเป็นกลับจากหน้ามือเป็

นหลังเท้า ดนพกลับก่อน มาสาย เสาร์-อาทิตย์โดด เข้าประชุมเลท นัดประชุมแล้วเบี้ยวซะเอง ฯลฯ 


พอมาสักระยะเห็นท่าว่าไม่ดีแน่เลยตัดสินใจออกมาทำงานอิสระ ประเภทรับคุมโปรเจคหนังหรือโฆษณาเป็นรายชอตและสอนหนังสือ ทำให้มีเวลาส่วนตัวกับครอบครัวมากขึ้น อาจจะจนลง (เยอะ) หน่อยแต่ก็มีความสุขกับการที่ไม่ต้องเห็นแป้งโกรธและยังได้เห็นการพัฒนาของดโรฑีแบบวันต่อวัน พอตอนบ่ายๆ ลูกนอน เราก็หยิบงานออกมาทำ พอตอนดึกพอแป้งนอนแล้ว ก็หยิบออกมาทำต่อรอบสองจนถึงเช้า นอนสักแป๊บนึงแล้วก็ตื่นมาเลี้ยงลูกต่อ ก็ดูเหมือนจะเข้าระบบดี มีความสุขมากๆ


มาช่วงเดือนหลังนี้ดโรฑีค่อนข้างจะคึกมากขึ้นกว่าเดิมและนอนตอนกลางวันน้อยลง ทำให้ไม่มีเวลาทำงาน ตอนนี้ค้างงานเขาไว้หลายเจ้า SIPA เขาเชิญให้ไปพูดที่ภูเก็ตเดือนหน้า เขาขอวิดิโอรวมผลงานเก่าๆ ไปตัดต่อใส่ในโฆษณาโปรโมทงาน เขาทวงมาอาทิตย์นึงแล้วยังไม่ได้ส่งให้เขาเลย ผลงานระยะหลังๆ ก็ไม่ได้เก็บ copy ไว้ เสร็จคือเสร็จ ที่จะให้ได้ก็มีแต่งานเก่าๆ น่าขายหน้าจริงๆ เขาอุตส่าห์เชิญ แต่เอาเป็นว่ารอวิดิโอโปรโมทบริษัทที่ทำให้อยู่ในปัจจุบันเขาเสร็จก่อนค่อยเอามารวมลงแผ่นแล้วส่งให้เขาทีเดียวแล้วกัน


ของอีกเจ้านึงคือ manuscript บทแปลภาษาอังกฤษของหนังสือ self-help ชื่อดังของไทยเล่มหนึ่ง ปกติก็ไม่ได้รับงานแปลมานานมากแล้ว แต่บริษัท marketing ของหนังสือฉบับภาษาฝรั่งเขาระบุมาว่าอยากให้ดนพแปล ก็อีกนั่นแหละ เราก็ไม่ชอบขัดใคร เขาอุตส่าห์เชือใจเอางานมาให้เราทำ ถึงส่วนตัวจะไม่ใช่แฟนประจำของหนังสือ self-help แต่ก็ตัดสินใจแล้วว่าจะลองแปลให้สักตั้ง แต่จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่มีเวลาแปล ตัวอย่างหนังสือที่เขาส่งมาให้ก็ยังถูกแช่แข็งอยู่ในตู้เย็น (เก็บไว้อยู่ในตู้เย็นจริงๆ ครับ แต่เรื่องมันยาว ยังไม่เล่าแล้วกัน) นานๆ จะได้หยิบออกมาพลิกๆ จดๆ ไว้ แต่ยังไม่ได้เรียบเรียงให้เขาจริงจัง ป่านนี้เขาคงหาคนอื่นแปลได้แล้วมั๊ง


นอกจากงานถ่ายภาพแล้ว เห็นจะไม่มีงานไหนที่จะเหมาะกับชีวิตครอบครัวอีกแล้ว เพื่อเป็นการส่งเสริมสถาบันครอบครัวและการทำงานที่บ้าน วันนี้จึงขอเล่าเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ช่วยให้ชิวิตวุ่นวายของคุณพ่อที่เลี้ยงลูกไปด้วย ทำงานไปด้วยง่ายขึ้น

แยกตามหมวดหมู่ได้ดังนี้


งานถ่ายภาพ


โหมดควบคุมมือเดียวในกล้อง Nikon DSLR โดยปกติการปรับค่าต่างๆ ของกล้องจะต้องใช้สองมือ มือนึงกดปุ่มประจำหัวข้อนั้นๆ ค้างไว้ เช่น White Balance ส่วนอีกมือก็หมุนล้อปรับตัวเลือกไปพร้อมๆ กัน แต่ในระบบเมนูของกล้อง Nikon DSLR ตั้งแต่ D2X เป็นต้นมา สามารถตั้งให้มี sticky key ได้ (ศัพท์จากโปรแกรม CGI) คือกดปุ่มบอกหัวข้อครั้งเดียวแล้วหมุนล้อปรับตัวเลือกได้เลยโดยไม่ต้องกดปุ่มหัวข้อแช่ไว้ ทำให้สามารถใช้งานได้เมื่ออีกมือหนึ่งไม่ว่าง เช่นเมื่

ออุ้มลูกอยู่ ถ้าเป็นกล้องอื่นๆ เช่น H3 หรือ Mamiya คงต้องเอาลูกไปวางไว้ก่อน กล้อง DSLR สะดวกมาก ยิ่งถ้าใช้กับเลนส์ใหม่ๆ ของ Nikon ที่สามารถปรับหน้ากล้องได้ที่ตัวกล้องโดยที่ไม่ต้องเอาอีกมือมาคอยหมุนที่คอเลนส์ยิ่งทำให้ถ่ายไปด้วยอุ้มลูกไปด้วยก็ยังได้


งานปรับแต่งภาพ


โปรแกรม Apple Aperture นอกจากจะเป็นโปรแกรมที่รวมทุกสิ่งที่ช่างภาพจะพึงต้องการมาไว้ในโปรแกรมเดียวแล้ว ระบบเมนูของ Aperture ยังถูกออกแบบให้ใช้งานได้ด้วยมิอเพียงข้างเดียว ทีมงานผู้ออกแบบคงตั้งใจไว้ให้ผู้ใช้เหลือมือว่างไว้จิบเครื่องดื่มไปด้วยขณะทำงาน ไม่ได้ออกแบบไว้ให้อุ้มลูกไปด้วย แต่ผลที่ได้ก็คู่ควรแก่การคารวะไม่แพ้กัน


โปรแกรม Apple Shake ที่จริงแล้วถูกออกแบบมาสำหรับใช้ในงานเทคนิคพิเศษสำหรับภาพยนตร์ แต่ผมเอามาใช้ในงานถ่ายภาพเพราะมีความยืดหยุ่นในเรื่องของชนิดของไฟล์และระดับความลึกของข้้อมูลสีที่

ไม่จำกัด และผู้ใช้สามารถทำการแก้ไขข้อมูลภาพในระดับ data stream ได้โดยตรง ทำให้ได้งานที่มีคุณภาพสูง แต่ feature ที่ชอบที่สุดในระยะหลังนี้ คือ Shake สามารถสั่งงานได้โดยใช้มือเพียงข้างเดียว แต่ดโรฑีไม่ค่อยชอบดูพ่อใช้ Shake เท่าไรนัก


งานล้างขวดนม


แปรงล้างขวดนมยี่ห้อ Munchkin มีกระจุ๊บยางติดอยู่ที่ปลายด้ามจับ เพ่ือให้ใช้ยึดติดกับพื้นผิวที่เรียบๆ เช่นขอบอ่างล้างจาน หรือกระเบื้องบนกำแพงห้องน้ำ ทำให้สามารถล้างขวดนมได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว เอาแปรงไปแปะไว้กับผนังห้องน้ำแล้วเอาขวดนมที่ลงน้ำยาล้างขวดไว้แล้วสวมครอบส่วนที่เป็นขนแปรงแล้วก็ขยับขวดขึ้นลงเหมือนเวลาใช้ไม้ตีพริก 
มีประโยชน์มากๆ ทำให้สามารถพาดโรฑีไปล้างขวดนมในห้องน้ำด้วยได้ ไม่ต้องใส่คอกทิ้งไว้ในห้องคนเดียว

ดโรฑีชอบดูพ่อใช้แปรง Munchkin เพราะนอกจากท่าทางพ่อจะตลกๆ เวลาที่ใช้แล้วตัวแปรงเองยังสีสวยถูกใจเธออีกด้วย


ขวดนมของ Avent ครับ ทราบแล้วว่าขวดที่เป็น polycarbonate มันมีสาร BP-A และถูกห้ามขายไปแล้วในแคนาดา แต่มันล้างง่ายและใสกว่าขวดปลอดสารอย่าง Medela เยอะเลย ขวด Medela ล้างยากมาก คงเป็นเพราะเนื้อพลาสติกหยาบกว่า polycarbon ทำให้ไขมันจากนมแม่ติดได้แน่นกว่า นอกจากนี้ขวด Medela ยังนุ่มเกินไป ส่งผลให้ฝาจุกปีนเกลียวได้ง่าย ทำให้นมรั่วออกมาเลอะเทอะเวลาที่ลูกยกขวดขึ้นดูด ส่งผลให้เปลืองนมและยังต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อลูกหลังจากให้นมทุกครั้งไป ถึงปัจจุบันจะไม่ได้ใช้ขวดใสๆ ทั้งหลายแหล่ที่มี BP-A แล้ว แต่ก็ยังคิดถึงข้อดีหลายๆ ข้อของพวกมันอยู่


งานเลี้ยงลูกทั่วไป


ระบบสั่งงานด้วยเสียงพูดบนคอมพิวเตอร์ Apple Mac ระบบปฏิบัติการของ Mac หรือ OSX มีระบบรับการควบคุมด้วยเสียงพูด และมีระบบแปลตัวหนังสือเป็นเสียงพูด ซึ่งทั้งสองสามารถนำมาใช้ควบคู่กับ script ง่ายๆ (โปรแกรมง่ายๆ) ที่เขียนเอง ทำให้การเลี้ยงลูกเป็นไปได้สะดวกขึ้น 

เวลาใช้งานก็เรียกชื่อคอมพิวเตอร์ก่อนเพื่อให้มันรอฟังคำสั่ง จากนั้นก็พูดคำสั่งไป คำสั่งนี้บางส่วนมีมาพร้อมกับเครื่องอยู่แล้วเช่นเมื่อเราพูดว่า Computer! What time is it? (กี่โมงแล้ว) หรือ What day is it? (วันนี้วันอะไร) เครื่องก็จะบอกเวลาหรือวันที่กลับเปีนเสียงพูดทางลำโพง หรือ Computer! Get my mail! เคร่ืองก็จะทำการเปิดโปรแกรม Mail และเช็คอีเมลให้ หากจะให้มันอ่านเมลให้ฟังด้วยเป็นเสียงพูดก็เขียน script เพิ่มอีกเล็กน้อยก็ใช้ได้แล้ว


มีประโยชน์มากเวลาที่ลูกนอนกอดเราจนหลับอยู่บนเตียงแล้วเราขยับตัวไปดูนาฬิกาไม่ได้ เราก็ What time is it? กับคอมโดยผ่านหูฟัง bluetooth เครื่องก็จะกระซิบบอกเวลาให้เรากลับมาทางหูฟัง เงียบ ง่าย และได้ใจความ จะได้รู้ว่าควรจะลุกไปเตรียมล้างขวดและอุ่นนมสำหรับรอบต่อไปได้หรือยัง


ที่ง่ายและมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งคือสามารถใช้ให้คอมพิวเตอร์ช่วยสร้างบันทึกข้อมูลการกินและขับถ่ายของลูกได้ด้วย เพียงสร้างคำสั่งที่เป็นคำพูดง่ายๆ เช่น Poo-poo (อึ), Pee-pee (ฉี่),  หรือ Milk, Water, Solid, ฯลฯ โดย เชื่อมคำสั่งเหล่านั้นเข้ากับ bash script ที่ทำหน้าที่เพิ่ม (append) วันที่ เวลา และ string ของประเภทของกิจกรรมลงใน text file ซึ่งเราสามารถมาเรียกดูภายหลังได้
เช่น เมื่อลูกฉี่ ขณะที่เปลียนผ้าอ้อมให้ลูก ก็พูดบอกคอมพิวเตอร์ว่า Computer! Pee-Pee! เครื่องก็จะตอบสนองโดยพูดคำสั่งนั้นซ้ำให้เราได้ยินเป็นการยืนยัน จากนั้นก็จะจดวันเวลาที่ลูกฉี่ลงไปใน text file พร้อมเพิ่ม keyword ว่า 'Pee-pee' ต่อท้าย Poo-poo, milk (ป้อนนม), water (ป้อนน้ำ) ฯลฯ ก็เหมือนกัน ต่างกันที่ keyword ที่เติมเข้าไปต่อท้าย

log ที่ได้ก็จะหน้าตาประมาณ

Fri Jul 18 10:58:36 Pee-pee
Fri Jul 18 11:33:33 Milk

Fri Jul 18 14:45:22 Milk

Fri Jul 18 15:02:15 Poo-poo


ง่ายๆ แบบนี้เป็นต้น หรือหากคุณพ่อคุณแม่ท่านใดขยันจะให้ script จดใน format ที่ส่งต่อให้ Excel plot เป็นกราฟให้ได้เลยก็คงได้ แต่ถ้ามีเวลาว่างมากขนาดนั้นก็คงจะดี


คิดว่าผมคงเป็นคนแรกที่ (บ้า) นำ feature นี้มาใช้ช่วยในการเลี้ยงลูก

ดโรฑีจะทำหน้างงเวลาที่อยู่กับพ่อสองคนแล้วเห็นพ่อหันไปพูดกับใครก็ไม่รู้ที่เหมือนจะไม่มีตัวตน แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ตอบกลับมา (Mac ที่บ้านตั้งไว้ให้เป็นเสียงผู้หญิง) ดโรฑีคงคิดอยู่ว่าพ่อแอบเอายัยแหม่มนี่ไปซ่อนไว้ที่ไหน ถ้าหนูหาเจอ (และพูดได้)เมื่อไหร่จะฟ้องแม่ให้เละเลย

7.14.2008

ขอต้อนรับสู่ KD Sherbet Photography: A Baby Shooter's Blog

เริ่มเดือนใหม่โดยการไปตั้งกองถ่ายนอกสถานที่ เก็บภาพน่ารักของลูกหลานสมาชิกเวบบอร์ด LSQ เกือบ 20 ครอบครัวในบ่ายวันเดียว เล่นเอาช่างภาพเกิอบหงายท้อง ปกติถ่ายครอบครัวละสองชั่วโมง มาคราวนี้ถ่ายสอง setup 20 บ้าน สนุกสนานราวงานมหกรรม 


อุปกรณ์ที่เตรียมไปเป็น strobe ของ Elinchrom กับซอฟท์บ๊อกซ์ ร่มไหม รีเฟลกขนาดกลาง ขาไฟ อุปกรณ์ยึดจับ ฉากหลัง muslin และขาตั้งพร้อมที่ม้วนฉาก เลนส์คู่ใจอีกประมาณนึง พร้อมกล้องดิจิตอลและกล้องฟิล์มอีกอย่างละตัว แต่เดิมว่าจะเอากล้อง Mamiya 6x7 ไปแต่มาคิดดูแล้วกลัวจะเป็นภาระ ไม่เหมาะกับงานนอกสถานที่เลยไม่เอาไปด้วย งานนี้เล่นเอารถ Honda คันน้อยเกือบเต็ม ต้องพับ baby seat ของดโรฑีเก็บไปก่อนทำให้ไม่สามารถพาดโรฑีไปด้วยได้ ขนไปได้แต่ภรรยา อุปกรณ์ และเครื่องแต่งกายเด็กกับพรอพนิดๆ หน่อยๆ


lighting setup คราวนี้ช่างภาพได้ทำการซ้อมปรับปรุงและทดสอบมาก่อนหน้าแล้วประมาณเดือนนึง ให้สภาพแสงนุ่มพร้อมทั้งแน้นความกลมกลึงของทารกได้อย่างดี ไม่มีเงาดำ แต่ให้ความแตกต่างระหว่าง subject กับ background ได้ชัดเจน (ดูภาพทดสอบที่ดโรฑีเป็นแบบให้)


สถานที่จริงเป็นร้านอาหารสำหรับครอบครัวที่มีมุมสนุกไว้ให้เด็กๆ เล่นกัน มีลูกค้าเด็กๆ เล่นกันพลุกพล่าน การขนย้ายอุปกรณ์เข้าไปในร้านไม่ยากเย็นนัก กลับลงไปที่รถแค่สองเที่ยวก็ขนขึ้นมาได้หมด แต่การจัด setup นั้นอีกเป็นอีกเรื่องนึง บริเวณที่ทางเจ้าของสถานที่จัดไว้ให้แคบกว่าที่คิดไว้ ไม่สามาถทิ้งระยะไฟได้ตามอย่าง setup ที่ออกแบบไว้ เลยต้องมาออกแบบกันใหม่เดี๋ยวนั้น มีข้อจำกัดหลายอย่างที่ทำให้ไม่ได้สภาพแสงอย่างที่ต้องการ แต่ถึงอย่างไรก็มีลูกค้ามารออยู่แล้วส่วนหนึ่ง ให้เขาทานอาหารกันไปก่อน ระหว่างที่ช่างภาพทดสอบ setup และ แป้งนั่งรถไฟฟ้ากลับไปรับดโรฑีที่บ้านพร้อมพาคุณยายมาเป็นพี่เลี้ยงด้วย 

เมื่อมากันพร้อมแล้วจึงเริ่มถ่าย เพราะต้องรอแป้งมาช่วยจัดคิว



ปรากฎว่านอกจาก lighting จะไม่ได้อย่างใจแล้วยังไม่มีพื้นที่ให้ใช้เลนส์เทเลอัตโนมัติที่เตรียมมาอีกด้วย ลูกค้าครอบครัวแรกผ่านไปอย่างโอเค คือไม่ได้ดีเลฺิศ ช่างภาพไม่ถูกใจกับภาพที่ได้เลย ระหว่างถ่ายครอบครัวที่สองเลยทดลองปรับไฟไปด้วยเป็นระยะ ก็ได้แสงที่ดีขึ้นมาหน่อย แต่ระยะก็ยังไม่ได้อยู่ดี ในที่สุดก็เลยตัดสินใจว่าใช้เลนส์แมนนวลเป็นเทเลระยะต้นถ่ายดีกว่า ภาพที่ออกมาก็ดีขึ้นสมใจ แต่ช่างภาพต้องทำงานหนักขึ้นหน่อยเพราะไม่ใช่เลนส์แบบอัตโนมัติ ต้องปรับโฟกัสและหน้ากล้องเอง ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่ได้ทำให้งานยากขึ้นเพราะโดยส่วนตัวแล้วช่างภาพไม่ชอบใช้เลนส์ออโต้อยู่แล้วเพราะถ่ายภาพโดยใช้กล้องฟิล์ม 120 และกล้อง rangefinder เป็นหลัก แต่ที่เตรียมเลนส์ออโต้ไปคราวนี้ก็เพราะคิดว่าน่าจะถ่ายภาพเด็กซนๆ ได้ง่ายขึ้น ที่สุดก็ไม่ได้ใช้


การถ่ายภาพเด็กด้วยเลนส์แมนวลเป็นการออกกำลังกายที่ดีแบบหนึ่ง เพราะต้องใช้การเคลื่อนไหวร่างกายมาช่วยในการปรับโฟกัสด้วย ใช้มือหมุนเลนส์เพื่อโฟกัสอย่างเดียวนั้นตามเด็กๆ ไม่ทัน


ลูกค้าทุกท่านใจเย็นและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี บ้างก็เล่นกับลูกไปบ้างก็ให้นมลูกไปขณะที่รอส่วนที่เหลือก็มาที่ setup มาช่วยหลอกล่อลูกของลูกค้าท่านอื่นที่กำลังถ่ายอยู่ให้ในขณะที่ยังไม่ถึงคิวของตัวเอง ส่วนบางคนที่ลูกน้อยรอจนหลับไปก็ยอมให้ท่านอื่นลัดคิวไปก่อนแล้วค่อยมาถ่ายทีหลังเมื่อลูกตื่นแล้ว ทุกอย่างจึงสำเร็จลงได้อย่างราบรื่นไม่มีการเสียน้ำตา ขอบพระคุณทุกๆ 

ท่านสำหรับความรัก ความอดทน และความเข้าใจ


การเก็บของกลับนั้นยากกว่าตอนขามาเพราะถ่ายงานมาทั้งวันและเหนื่อยมากแล้ว ขามายังมากันได้แค่สองคนกับอุปกรณ์ แต่ขากลับมีคุณยายกับดโรฑีเพิ่มมาอีกสองคน แล้วยังมีของขวัญต่างๆ ที่ลูกค้าใจดีทุกท่านนำมาให้อีกหลายกล่องใหญ่ เอ แล้วจะกลับบ้านกันอย่างไรดีหนอ . . . ช่างภาพเลยตัดสินใจแบกอุปกรณ์บางส่วนขึ้นรถไฟฟ้ากลับไปเอง ให้คุณยายขับรถพาแป้งและดโรฑีกลับบ้านไปก่อน

กว่าช่างภาพเองจะเดินจากสถานีรถไฟฟ้ากลับถึงบ้านพร้อมอุปกรณ์ขาเกือบลาก หนักมาก หรือว่าเราจะแก่แล้วจริงๆ แต่ก่อนแบกอุปกรณ์หนักกว่านี้เข้าป่าที่เมืองนอกไปได้ทีนึงหลายๆ วัน มาเดี๋ยวนี้แค่เดินเข้าซอยก็จะไม่ไหวแล้วหรือ


กลับมาที่ทำงาน (aka. บ้าน) อุ้มลูกมือนึง อีกมือก็ edit รูปไปด้วยภาพส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาอะไรมาก และโดยส่วนตัวไม่ชอบแก้ไขภาพให้ผิดธรรมชาติอยู่แล้ว จึงเหลือแค่การปรับแต่งน้ำหนักภาพและออกแบบโทนสีเป็นหลัก ลูกสาวคนดีเห็นพ่อนั่งเพ่งรูปเด็

กคนอื่นอยู่บนจอก็ส่งเสียงประท้วงพร้อมพยายามยื่นมือและเท้าเข้ามาช่วย (ขัดขวางการ) แต่งภาพด้วย

 ดูเธอจะชอบคอมฯ คิดว่าถ้าดโรฑีจับ mouse ได้เมื่อไหร่จะได้ใช้เป็นลูกมือซะเลย


การแต่งภาพขั้นแรกเสร็จเร็วกว่าที่คิดแค่นั่งทำอยู่สองคืนก็เรียบร้อย มานึกๆ ดูงานแค่นี้ก็ง่ายกว่่าแต่ก่อนมาก เมื่อก่อนนี้สมัยทำงานภาพยนตร์เวลาจะลบคน สายสลิง หรือตึกออกจากภาพ ต้องลบมันออกจากทุกเฟรม ภาพยนตร์ที่เราเห็นกันนั้นประกอบไปด้วยภาพนิ่งเล่นต่อเนื่องด้วยความเร็วสูง 24 ภาพในทุกๆ หนึ่งวินาที เวลาจะลบอะไรออก ก็ต้องมานั่ง retouch ออกทุกๆ สามหรือห้าเฟรมไป บางทีก็ต้องลบทุกเฟรม และต้องทำให้เนี๊ยบสุดๆ อีกด้วยไม่งั้นคนดูจะเห็นรอยยุ๊กยิกในบริเวณที่ถูกแก้ไข แต่สำหรับงานภาพนิ่งแล้ว retouch แต่รูปต่อรูปเอาให้เนี๊ยบที่สุดเป็นเสร็จงาน