9.09.2008

ภูเก็ต, บิน, ตังค์?


การได้ทำงานที่เรารักเป็นความสุขอย่างหนึ่ง บางครั้งการทำงานก็ทำให้เราลืมความเจ็บป่วยหรือปัญหาต่างๆ ที่เราเผชิญอยู่ไปได้ หลายๆ ครั้งที่ผมป่วย ผมมักเลือกที่จะออกไปทำงานแทนที่จะนอนพักอย่างที่คนส่วนมากเขาทำกันก็ด้วยเหตุผลนี้ โดยส่วนใหญ่ พอเริ่มทำงานไปได้สักพักเราก็จะเริ่มมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานที่ทำ อาการเจ็บป่วยต่างๆ ก็เหมือนจะหายไปหมด จะเริ่มกลับมาอีกทีก็เมื่องานเสร็จแล้ว แต่เมื่อถึงตอนนั้น เราก็จะกำลังรู้สึกอิ่มเอิบกับงานที่เพิ่งทำสำเร็จไป อาการป่วยมันก็เหมือนจะทุเลาลง ผมเองได้ทำงานมาหลายประเภททั้งสิ่งพิมพ์ แอนิเมชั่น โฆษณาโทรทัศน์ สอนหนังสือ ฯลฯ แต่ผมบอกได้ว่าคงไม่มีงานไหนที่จะทำให้สุขใจและหายป่วยเท่ากับงานถ่ายภาพเด็กครับ ตั้งแต่ขณะแรกที่ลูกค้าตัวน้อยก้าวเข้าประตูมาใจเราก็จะไปจดจ่ออยู่กับเขา เข้าไปทำความรู้จักเขา นั่นก็สร้างความชื่นใจได้ระดับหนึ่งแล้ว 


แต่พอถึงเวลาที่เริ่มถ่ายภาพ เวลาที่ได้มองเขาผ่านช่องมองภาพ เวลาที่กดชัตเตอร์ทุกครั้ง มันเหมือนกับว่าเราได้สร้างงานสิ่งดีๆ ให้ชีวิต เราได้เก็บความน่ารัก ได้หยุดช่วงเวลาที่สำคัญและสวยงามในชีวิตของลูกค้าไว้ให้คงสภาพต่อไป อธิบายลำบากครับ แต่มันรู้สึกเหมือนกับเวลาที่เราทานขนมอะไรที่เราชอบ เราไม่อยากให้มันหมดแต่ในที่สุดมันก็จะหมด แต่ทุกครั้งที่กดชัตเตอร์ มันเหมือนกับว่ามีใครมาคอยเติมขนมนั้นให้เราใหม่ เราจะรู้สึกว่าขนมนั้นมันจะอยู่ให้เราได้ชื่นชมตลอดไป มันเป็นความอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก 


ส่วนที่เหลือเรื่องการปรับ strobe การปรับหน้ากล้องและโฟกัสและอื่นๆ มันเห

มือนกับว่ามือของผมมันเคลื่อนไหวไปเองโดยอัตโนมัติ ผมไม่เคยมานั่งคำนวณขณะถ่ายว่านี่ f เท่าไร ความเร็วเท่าไร แต่มือมันปรับของมันไปเอง ส่วนในหัวมีแต่เรื่องว่าลูกค้าตัวน้อยกำลังจะทำอะไร มีแต่ ขึ้น ลง ซ้าย ขวา ใกล้ ไกล ตรง เอียง ใหญ่ เล็ก ช้า เร็ว มืด สว่าง แล้วตัวเราก็ตอบสนองไปตามนั้นเอง แต่แปลกครับ มันเป็นแค่ความรู้สึก ไม่ได้คิดออกมาเป็นคำๆ เหมือนอย่างเวลาที่ทำอย่างอื่น ใครที่อธิบายได้ว่ามันคืออะไรช่วยขยายความให้ด้วยนะครับ


ตั้งแต่กลับมาจากภูเก็ตผมยังไม่ได้มีโอกาสมาเขียน blog เลยจนวันนี้ สาเหตุเป็นเพราะงานยุ่งมากประกอบกับป่วยครับ กลับจากภูเก็ตก็ตัองสอนต่อกันอาทิตย์กว่าๆ เสาร์อาทิตย์ก็ทำงานถ่ายภาพ อาการป่วยนั้นดูจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่กลับจากภูเก็ตได้สักพัก ดูแล้วคล้ายๆ อาการเดิมๆ คือลำไส้อักเสบ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นอาการประจำตัว พองานยุ่งเมื่อไรพอไม่ได้พักเป็นต้องปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนเป็นประจำ

อาทิตย์แรกก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไร สอนเสร็จก็ออกไปถ่ายงานตามปกติ พอเริ่มกดชัตเตอร์ก็รู้สึกสบายใจ อาการป่วยก็ดูจะทุเลาลง พอถ่ายเสร็จก็รู้สึกสบายดีราวกับไม่เคยป่วยมาก่

อน แต่พอมาอาทิตย์ต่อมาก่อนออกไปถ่ายงานลูกค้าอีกท่าน ปรากฏว่าอาการกลับมา คราวนี้รุนแรงกว่าเดิมมาก แต่ก็ตัดสินใจทำอย่างอาทิตย์ก่อนหน้านั้นคือ ออกไปทำงาน เพราะเชื่อว่าถ้าไ

ด้ทำงานแล้วเดี๋ยวก็คงจะหายเป็นปกติ ปรากฏว่าคราวนี้ไม่หายครับ 


ยิ่งถ่ายงานไปถึงจะยังรู้สึกสนุกแต่ร่างกายกลับยิ่งรู้สึกทรมาณ ถึงขั้นที่ว่าเริ่มจะสงสัยตัวเองว่าเราจะถ่ายจนเสร็จไหวไหม หรือเราจะเป็นลมล้มกลิ่งไปก่อนให้ลูกค้าตกใจ การทำงานนั้นช่วยให้เราลืมอาการป่วยได้จริงครับ เพราะสุดท้ายก็ถ่ายงานจนเสร็จและภาพที่ได้ก็อยู่ในเกณฑ์ดี แต่พอส่งลูกค้ากลับบ้านแล้วถึงได้รู้ว่าเป็นไข้ แป้งก็เลยบังคับให้ไปหาหมอ ปรากฏว่าโรงพยาบาลไม่ยอมให้กลับบ้านครับ นอนแบ่บอยู่หลายวัน เจ้าอาการที่เหมือนลำไส้อักเสบนั้นที่สุดแล้วก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าอักเสบจริงไหม เพราะอาการหลักๆ ที่ทำให้ไข้ขึ้นสูงนั้นกลับกลายเป็นการติดเชื่อที่ต่อมลูกหมากและกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งจัดได้ว่าเจ็บปวดพอสมควรทีเดียว 

ทางโรงพยาบาลใจดีเห็นว่ามีแป้งกับดโรฑีมานอนเฝ้าไข้ด้วยก็เลยจัดห้องให้เป็น

ห้องในปีกเดียวกับแผนกเด็กเพื่อให้สามารถยืมเตียงเด็กมาให้ดโรฑีนอนได้ ผมก็เลยได้ห้องดีพิเศษไปด้วย มีทั้ง HDTV ทั้งคอมพิวเตอร์ฝังในผนังพร้อมแป้นพิมพ์ไร้สาย แต่วันแรกๆ มัวแต่นอนซมอยู่ กว่าจะมีแรงลุกขึ้นมาเล่นก็วันทีสามเข้าไปแล้ว


ส่วนการไปภูเก็ตคราวนี้เรื่องงานจัดได้ว่าสำเร็จระดับพอใช้ แ

ต่ที่น่าพอใจเป็นพิเศษคงเป็นการที่ได้พาดโรฑีไปเที่ยวเป็นครั้งแรก ดโรฑีชอบมากครับ เวลาที่ขึ้นเครื่องบินก็หลับเกือบตลอดทาง ไม่ได้งอแงเลย พอตื่นขึ้นมา มองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินเห็นเมฆกับทะเลก็ส่งเสียงอืออาตื่นเต้น พอเริ่มจะเบื่อก็ปีนข้ามเบาะไปเล่นกับคุณพ่อชาวละตินใจดีที่นั่งอยู่แถวถัดไป ดโรฑีไม่ค่อยชอบอากาศร้อนชื้นในตัวเมืองฯ เท่าไร แต่พอพาออกทะเลไปเที่ยวเล่นน้ำตามเกาะต่างๆ ก็สนุกสนานร่าเริงราวโลมาน้อย 

หลายๆ คนที่มีโอกาสได้เห็นภาพถ่ายจากทริปนี้แล้วต่างต่อว่าผมและแป้งว่า นึกอย่างไรถึงได้พาลูกไปอันตรายและวิบากอย่างนั้น ไม่ร้อนหรือ ไม่กลัวลูกตกน้ำหรือ ปล่อยให้ลูกนั่งเล่นอาหารในจานได้อย่างไร ฯลฯ กลัวครับ กลัวลูกจะได้รับอันตราย กลัวเขาจะกลัว ไม่สนุก กลัวเขาจะป่วย แต่นั่นก็ไม่ต่างอะไรจากเวลาที่อยู่กรุงเทพแล้วพาเขาออกไปซื้อของที่ตามห้างสรรพสินค้า 


จะว่าไปแล้วคุณภาพอากาศแถวอันดามันดีกว่าที่กรุงเทพมาก น้ำทะเลก็สะอาด เข้าตาก็ไม่แสบ ทรายก็นุ่มละเอียด ส่วนเรื่องแดดเรื่องแมลงก็คอยป้องกันให้เขาเป็นพิเศษ คิดไว้ว่าถ้าเขาไม่ชอบก็เลิกแต่นั้น กลับโรงแรม แต่ปรากฏว่าดโรฑีชอบมากครับ ผมกับแป้งก็เลยพลอยตื่นเต้นไปด้วย ชาวเรือที่เห็นดโรฑีร่าเริงก็ชอบ เข้ามาทักด้วยความเอ็นดู เอาของต่างๆ มาให้ บอกว่าไม่เคยเห็นคนไทยพาลูกเล็กๆ มาลอยทะเล พ่อแม่และคุณน้าของดโรฑีก็เลยได้ของฟรีไปด้วย


แล้วส่วนเรื่องที่ผมยอมให้ดโรฑีลงไปนั่งละเลงอาหารในจานน่ะหรือครับ ก็เพราะว่าเราไปเที่ยวไงครับ เราไปเพื่อเห็นสิ่งแปลกใหม่ ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำหรือทำไม่ได้ขณะที่อยู่ที่บ้าน ดโรฑีอยากละเ

ลงจานอาหารมานานแล้วแต่อยู่ที่บ้านเราไม่ให้ทำ คราวนี้เขาไปเที่ยวก็เลยให้เขาได้ลองสักครั้งนึ่งครับ หยิบอาหารเข้าปากทานเองเลย ไม่ชอบอะไรเขาก็จะเอามาวางกลับที่เดิมแล้วผมก็จะรับช่วงต่อไป สนุกดีครับดโรฑีก็สนุก พ่อแม่ของดโรฑีก็สนุกไปด้วย การไปเที่ยวด้วยกันพ่อแม่ลูกของเราถึงจะเหนื่อยกว่าครั้งอื่นๆ ที่มีแต่ผมและแป้ง แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับเราทุกคนครับ 


ผมขอขอบคุณทางคณะผู้จัดงาน Phuket Animation Festival SIPA ภูเก็ตเจ้าเก่าและผู้ประสานงานจากบริษัท Cool Creative ที่เป็นธุระให้ผมและครอบครัวได้เปลี่ยนตั๋วแล้วเปลี่ยนตั๋วอีกจนถึงวินาทีสุดท้ายถึงจะผิตจากแผนเดิมที่วางไว้ไปบ้าง ขอบคุณคุณน้าผู้ซื่อสัตย์ของดโรฑีที่ดั้นด้นติดตามไปช่วยดูแลหลานถึงภูเก็ต และทุกท่านที่ให้ความเอ็นดูครอบครัวน้อยๆ ของเราตลอดการเดินทาง รวมถึงคณะแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลสมิติเวชสุขุมวิทที่ช่วยให้ผมได้กลับมาเลี้ยงดโรฑีและนั่งเขียน blog อีกครั้ง ขอบคุณคุณย่าและคุณยายที่ผลัดกันช่วยดูแลดโรฑีในขณะที่ผมป่วย และขอบคุณแป้งและดโรฑีที่มานอนอยู่เป็นเพื่อนที่โรงพยาบาล ทำให้ผมรู้ว่าต้องรีบหายป่วยไวๆ เพื่อทุกคนที่รักผม