7.30.2008

ว่าด้วยกล้อง


บางท่านสงสัยว่า ผมใช้อุปกรณ์อะไรในงานถ่ายภาพเด็ก ล่าสุดเป็นคุณแม่ของลูกค้าตัวน้อยที่เพิ่งแวะมาที่ loft ของเรา หลังจากที่เห็นกล่องอุปกรณ์ของผมแล้วก็สงสัยว่าเจ้าดนพนี่มันมีกล้องกี่ตัวกันแน่ คงสงสัยด้วยว่าหรือมันจะมีกล้องสำหรับแอบถ่ายซ่อนไว้ในห้องน้ำลูกค้าด้วย ที่จริงแล้วมีไม่มากครับ และไอ้ที่อยู่ในห้องน้ำนั้นถ้าหาเจอมันไม่ใช่ของผมครับ (ล้อเล่นครับ ไม่มีหรอก) ที่ดูเหมือนมากนั้นเป็นเพราะผมมักจะขนอุปกรณ์ที่มีไปทำงานด้วยเกือบทั้งหมดในคราวเดียวเหมือนบ้าหอบฟาง เหตุผลคือ เราไม่รู้ว่าเราอาจมีความจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ชิ้นใดชิ้นหนึ่งขึ้นมาเมื่อไร แต่ละชิ้นก็ล้วนแต่มีความสามารถเฉพาะของมันเหมาะสมกับแต่ละประเภทงาน แต่ที่สำคัญที่สุดคือมันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยหากถูกทิ้งไว้ในตู้เก็บที่บ้าน ไม่ได้เอาไปทำงานด้วย


เรื่องของเรื่องคือ ผมใช้อะไรไม่ค่อยเหมือนคนอื่นเขา อุปกรณ์ส่วนใหญ่ของผมเป็นของตกทอดมาจากยุคฟิล์มบางชิ้นใช้มาตั้งแต่สมัยเรียนบางชิ้นมาซื้อเพิ่มเติมทีหลังตามความค้องการของงานหรือเพื่อการทดลองที่กำลังสนใจอยู่ในชณะนั้น ผมไม่ใช่นักสะสมกล้อง ผมมีกล้องไว้เพื่อใช้งาน และโดยส่วนตัวแล้วผมชอบวัดแสงและตั้งค่าด้วยตัวเอง ของที่เลือกใช้ส่วนใหญ่จึงไม่เน้นฟังก์ชั่นใหม่เลิศหรู แต่จะเน้นที่ความเที่ยงตรง ระบบควบคุม manual ที่ครบ ความคงทน และความถนัดมือขณะใช้งาน และทั้งหมดไม่ใช่กล้องรุ่นใหม่สุดแม้แต่ตอนที่เพิ่งซื้อมา ผมไม่ชอบเป็นหนูทดลองให้ใครและจะลงทุนเฉพาะกับอุปกรณ์ที่ (คนอื่นและตัวเอง) ทดสอบแล้วเท่านั้น


กล้องเป็นเพียงกล่องทึบแสงที่มีเลนส์ติดอยู่ข้างหนึ่งและมีสื่อรับภาพชนิดใดชนิดหนึ่งติดอยู่ด้านตรงข้าม ความสามารถอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการปรับความเร็วชัตเตอร์ โฟกัส และหน้ากล้องถือเป็นอุปกรณ์เสริมการขายทั้งสิ้น น่าแปลกที่ฟังก์ชั่นพิ้นฐานที่สุดที่กล้องพึงจะมีกลับถูกยกมาใส่ไว้ในกล้องรุ่นที่แพงขึ้น ส่วนกล้องระดับรองๆ ลงมากลับมีฟังก์ชั่นอัตโนมัติต่างๆ มากมาย กล้องยิ่งถูกยิ่งคิดแทนคุณวัดแสงปรับหน้ากล้องแทนให้ ส่วนกล้องแพงๆ กลับไม่ทำอะไรเหล่านั้นให้คุณเลย เหมือนว่าคุณจ่ายแพงกว่าเพื่อให้ได้ฟังก์ชั่นน้อยลง แต่ที่จริงคือคุณจ่ายแพงกว่าเพื่ออิสระทางความคิด เพื่อให้สามารถสร้างภาพอย่างที่คุณต้องการได้สมใจ การถ่ายภาพเป็นงานที่อาศัยความคิดสร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์อาจจะไม่ต้องการฟังก์ชั่นพิศดาร แต่มันต้องการอิสระในการแสดงออก บริษัทผู้ผลิตกล้องคงเข้าใจข้อนี้ดีเลยสร้าง product line อย่างที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน (กล้องราคาถูกคิดแทนคุณ)


กล้องที่ผมเห็นว่าสมบูรณ์แบบที่สุดที่ผมมีเป็นกล้องพิ้นฐานสุดๆ คือ

กล้อง Leica IIIa ซึ่งผลิตในปี 1935 ซึ่งตอนนี้ก็อายุ 70 กว่าปีเข้าไปแล้ว คือเรียกได้ว่าอยู่มาตั้งแต่สมัยที่เริ่มมีฟิล์ม 35mm มาเลย IIIa ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าที่กล้องถ่ายภาพควรจะมี เป็นระบบไขลาน ไม่ต้องใช้ถ่าน ชัตเตอร์ทำจากผ้าใบเคลือบยาง เปลี่ยนเลนส์ได้และมีเลนส์คุณภาพสูงให้เลือกมากมาย เบา เล็ก เงียบ ทน เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของมือเรา ใช้ง่ายทำให้เราสามารถจดจ่ออยู่กับภาพที่จะถ่ายได้เต็มที่ ปัจจุบันผมยังใช้กล้องนี้ถ่ายภาพครอบครัวอยู่ (ดูภาพแป้งในร้านอาหาร ถ่ายด้วยเลนส์ Elmar 50 3.5 ซึ่งเก่ากว่าตัวกล้องซะอีก)

หลายท่านอาจเห็นว่าแปลกที่ IIIa แม้จะเป็นกล้อง 35mm รุ่นแรกๆ ของโลกแต่ก็สามารถให้ภาพที่คุณภาพเหมือนกับที่ได้จากกล้องรุ่นใหม่ล่าสุดในปัจจุบัน แต่ที่จริงแล้วนั่นเป็นเพียงข้อพิสูจน์ว่า ภาพถ่ายที่ดีนั้นเกิดขึ้นโดยช่างภาพเป็นหลักไม่ใช่ด้วยตัวกล้อง


ที่คล้ายๆ กันและยังใช้ทำงานด้วยคือ Leica M3 ปี 1955 ซึ่งใหม่กว่า IIIa 20 ปีแต่การทำงานยังคล้าย

คลึงกัน สาเหตุที่ยังใช้ M3 ทำงานได้เป็นเพราะ M3 สามารถใช้กับเลนส์ในยุคปัจจุบันที่มีคุณภาพสูงได้ Leica M3 เงียบกว่า IIIa อีก แต่ขนาดเทอะทะไปหน่อย แต่กล้องนี้สามารถเก็บความรู้สึกและบรรยากาศลงเป็นภาพได้ดีเลิศ ภาพที่คุณเห็นในช่องมองภาพของมันไม่ใช่ภาพที่จะปรากฎบนฟิล์มเหมือนกล้อง SLR แต่มันมีอะไรมากกว่านั้นแฝงอยู่เสมอ อธิบายยาก ภาพที่ถ่ายด้วย M3 เช่นภาพวัดพระแก้วและพระราชวังบางปะอิน


ส่วนกล้อง 35mm และ ดิจิตอลที่เหลือเป็นของ Nikon ทั้งหมดเพราะใช้เลนส์ชุดเดียวกันได้ ไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่สำหรับกล้องแต่ละตัว สำหรับฟิล์มผมใช้ FE2, F3HP และ F4s ส่วนดิจิตอลเป็น D200 และ D2Xs ซึ่งเป็นกล้องหลักในปัจจุบัน เพื่อนๆ ชอบถามว่าไม่อยากเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ๆ อย่าง D3 D300 หรือ D700 หรือ ผมเห็นว่าไม่มีความจำเป็นครับ D2Xs สามารถแยกแยะความละเอียดได้สูงกว่ากล้องรุ่นใหม่ทั้งหมดที่ว่ามาคือ 2800lp สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาใน D3, 300 และ 700 คือระบบประมวลผลซึ่งปรับแต่งภาพให้ใสเด้งเกินจริงเหมือนมี Photoshop (หรือ CaptureNX) อยู่ในกล้อง ระบบปรับโฟกัสอัตโนมัติแบบใหม่ และสำหรับ D3 และ D700 คือจอรับภาพรุ่นใหม่ที่ให้ภาพในสัดส่วนเท่ากับกล้อง 35mm แต่นั่นก็หมายถึงว่ามันมีขนาด pitch ที่ห่างกว่า D2Xs ที่ใช้จอรับภาพขนาดเล็กกว่าทำให้ไม่สามารถแยกแยะรายละเอียดได้ดีเท่า D2Xs (2600 vs 2800lp) ถึงแม้ว่าเม็ดรับภาพที่ใหญ่ขึ้นจะทำให้ทั้งสองรุ่นมีความไวแสงสูงกว่า D2Xs มากก็ตาม งานของผมถ่ายที่ระดับความไวแสงต่ำ(ให้คุณภาพของภาพสูงกว่า) ผมปรับโฟกัสด้วยมือ สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาในกล้องใหม่ทั้งสามรุ่นจึงไม่มีผลต่อคุณภาพงานโดยรวมของผมเลย ส่วนความละเอียดสีที่เพิ่มขึ้นจาก 12 เป็น 14 bit เรื่องนี้ยังตอบได้ไม่เต็มปากครับ แต่เอาเป็นว่า ภาพที่เราเห็นในภาพยนตร์เรื่องดังทั้งหลายนั้นเป็นภาพจากไฟล์ระบบ Cineon หรือ DPX ซึ่งให้ความละเอียดสีอยู่ที่ 10 bit เท่านั้น


ก็อีกนั่นแหละผู้คนก็ถามอีกว่าแล้วเรื่องความละเอียดของจอรับภาพล่ะดนพ? ทำไมไม่ใช้พวก 21MP อย่าง Canon EOS 1Ds mk III คงไม่ล่ะครับ แค่ชื่อรุ่นก็เวียนหัวพอแล้ว 1Ds mk III เป็นกล้องดีเลิศครับ ใครที่ใช้อยู่คงมีความสุขกับมันมาก และผมยอมรับว่าความสามารถในการแยกแยะรายละเอียดของมันสูงกว่า D2Xs อยู่พอตัว (2800 vs 3300lp) แต่ในระดับราคาที่สูงกว่ามาก แถมยังใช้กับเลนส์ประดามีที่ผมสะสมมาไม่ได้อีกด้วย

12MP ที่ใช้อยู่อัดขยายได้สูงสุดถึง 16x20 นิ้วซึ่งผมว่าใหญ่เกินพอสำหรับงานถ่ายภาพเด็ก แต่ถ้าหากลูกค้าท่านใดอยากได้ภาพลูกรักไปขยายติดข้างตึก 30 ชั้นจริงๆ ล่ะก็ ผมยังมี . . .


Mamiya RB67 ซึ่งใช้ฟิล์ม 120 ขนาดเดียวกับโรงหนัง IMAX ซึ่งเมื่อสแกนให้เป็นดิจิตอลหรือใช้กับจอรับภาพดิจิตอลซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมแล้วจะให้ขนาดภาพประมาณ 50MP ซึ่งน่าจะพอสำหรับงานพิมพ์ทุกชนิดทั้งในโลกนี้และโลกหน้า


อย่าลิมว่าภาพโปสเตอร์หนังดังๆ ของ Universal Pictures ส่วนใหญ่ถ่ายโดยนายJasin Boland ล้วนแล้วแต่มาจากกล้อง 12MP ทั้งสิ้น แต่ไม่ทราบว่านาย Jasin จะเลือกใช้ D2Xs ด้วยสาเหตุเดียวกับผมหรือจะเป็นเพราะภรรยาของเขาไม่ยอมให้ซื้อกล้องใหม่ก็ไม่ทราบ

ขอบพระคุณแฟนเพลงทุกท่าน

ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตาม A Baby Shooter's Blog ของเราครับ ผล vote ของสัปดาห์แรกของเราออกมาแล้ว ถึงจะมีผู้อ่าน vote กันค่อนข้างน้อย แต่ผลก็ออกมาว่าผู้อ่านส่วนใหญ่ต้องการอ่านเรื่องเกี่ยวกับเทคนิคการถ่ายภาพเด็ก ผมก็ยินดีจะจัดให้ตามนั้นครับ

สำหรับผู้อ่านบางท่านที่ไม่ทราบว่า vote อย่างไร ขอให้ดูด้านขวามือของหน้าจอนี้ จะเห็นหัวข้อลงคะแนนประจำสัปดาห์พร้อมตัวเลือก ชอบข้อไหนก็ลงคะแนนได้เลยครับ ใครๆ ก็ลงคะแนนได้ไม่ต้องเป็นสมาชิกครับ


ส่วนท่านที่เขียนมาขอให้แจ้งให้ทราบหากมีบทความใหม่ A Baby Shooter's Blog เป็นระบบ RSS หรือ Really Simple Syndicate ครับ นั่นหมายถึงท่านสามารถคลิกที่เครื่องหมาย RSS ที่อยู่ด้านขวามือของหน้าจอนี้เพื่อสมัครรับบทความของเราทาง email หรือทาง browser ที่รองรับระบบ RSS ได้ทันที ทุกครั้งที่มีบทความใหม่ระบบจะส่งบทความไปถึง mailbox ของท่านโดยอัตโนมัติ รับรองว่าไม่ต้องพลาดตอนหนึ่งตอนใดแน่นอนครับ บทความในส่วนที่เป็น RSS ของเราสามารถอ่านได้บนอุปกรณ์สื่อสารมือถือทุกชนิดที่รองรับภาษาไทย unicode และ ​HTML ครับ


และหากท่านมีความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะ หรืออยากฝากอะไรถึงครอบครัวน้อยๆ ของเรา สามารถทำได้โดยคลิกที่ลิ๊งค์ที่ชื่อ comments ด้านล่างของแต่ละบทความครับ


ขอบคุณครับ

7.18.2008

ขวัญใจของช่างภาพมือเดียว

ช่วงนี้ขนาดเปลี่ยนมาทำอาชีพอิสระอยู่ที่บ้าน หน้าที่การงานนอกบ้านก็ชักจะเริ่มมาเคาะประตูบ้านอยู่รำไร แต่เดิมสมัยทำงานประจำอยู่เคยยุ่งมาก แต่พอแต่งงานแล้วก็ต้องโดดประชุม ทิ้งลูกน้องทำงานข้ามคืนตามลำพัง ยอมให้คนอื่นล้างสมองลูกทีมขณะที่เราไม่อยู่ บางทีก็ยกเครดิตของงานที่เราทำมาให้คนอื่นไป สารพัด งานอย่างนี้มันไม่ใช่งาน 9-5 โมง หากยังไม่เสร็จก็คือยังไม่มีใครได้กลับบ้าน บางครั้งสมัยยังโสดเคยนั่งทำงานต่อกันไม่ได้กินไม่ได้นอน 5 วันติดๆ กัน ตอนก่อนแต่งงานดนพได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์อมตะไม่ต้องหลับไม่ต้องกินข้าว ไม่เคยทิ้งลูกน้องกลับบ้านก่อน อยู่จนเสร็จงาน แต่ตั้งแต่แต่งงานกลายเป็นกลับจากหน้ามือเป็

นหลังเท้า ดนพกลับก่อน มาสาย เสาร์-อาทิตย์โดด เข้าประชุมเลท นัดประชุมแล้วเบี้ยวซะเอง ฯลฯ 


พอมาสักระยะเห็นท่าว่าไม่ดีแน่เลยตัดสินใจออกมาทำงานอิสระ ประเภทรับคุมโปรเจคหนังหรือโฆษณาเป็นรายชอตและสอนหนังสือ ทำให้มีเวลาส่วนตัวกับครอบครัวมากขึ้น อาจจะจนลง (เยอะ) หน่อยแต่ก็มีความสุขกับการที่ไม่ต้องเห็นแป้งโกรธและยังได้เห็นการพัฒนาของดโรฑีแบบวันต่อวัน พอตอนบ่ายๆ ลูกนอน เราก็หยิบงานออกมาทำ พอตอนดึกพอแป้งนอนแล้ว ก็หยิบออกมาทำต่อรอบสองจนถึงเช้า นอนสักแป๊บนึงแล้วก็ตื่นมาเลี้ยงลูกต่อ ก็ดูเหมือนจะเข้าระบบดี มีความสุขมากๆ


มาช่วงเดือนหลังนี้ดโรฑีค่อนข้างจะคึกมากขึ้นกว่าเดิมและนอนตอนกลางวันน้อยลง ทำให้ไม่มีเวลาทำงาน ตอนนี้ค้างงานเขาไว้หลายเจ้า SIPA เขาเชิญให้ไปพูดที่ภูเก็ตเดือนหน้า เขาขอวิดิโอรวมผลงานเก่าๆ ไปตัดต่อใส่ในโฆษณาโปรโมทงาน เขาทวงมาอาทิตย์นึงแล้วยังไม่ได้ส่งให้เขาเลย ผลงานระยะหลังๆ ก็ไม่ได้เก็บ copy ไว้ เสร็จคือเสร็จ ที่จะให้ได้ก็มีแต่งานเก่าๆ น่าขายหน้าจริงๆ เขาอุตส่าห์เชิญ แต่เอาเป็นว่ารอวิดิโอโปรโมทบริษัทที่ทำให้อยู่ในปัจจุบันเขาเสร็จก่อนค่อยเอามารวมลงแผ่นแล้วส่งให้เขาทีเดียวแล้วกัน


ของอีกเจ้านึงคือ manuscript บทแปลภาษาอังกฤษของหนังสือ self-help ชื่อดังของไทยเล่มหนึ่ง ปกติก็ไม่ได้รับงานแปลมานานมากแล้ว แต่บริษัท marketing ของหนังสือฉบับภาษาฝรั่งเขาระบุมาว่าอยากให้ดนพแปล ก็อีกนั่นแหละ เราก็ไม่ชอบขัดใคร เขาอุตส่าห์เชือใจเอางานมาให้เราทำ ถึงส่วนตัวจะไม่ใช่แฟนประจำของหนังสือ self-help แต่ก็ตัดสินใจแล้วว่าจะลองแปลให้สักตั้ง แต่จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่มีเวลาแปล ตัวอย่างหนังสือที่เขาส่งมาให้ก็ยังถูกแช่แข็งอยู่ในตู้เย็น (เก็บไว้อยู่ในตู้เย็นจริงๆ ครับ แต่เรื่องมันยาว ยังไม่เล่าแล้วกัน) นานๆ จะได้หยิบออกมาพลิกๆ จดๆ ไว้ แต่ยังไม่ได้เรียบเรียงให้เขาจริงจัง ป่านนี้เขาคงหาคนอื่นแปลได้แล้วมั๊ง


นอกจากงานถ่ายภาพแล้ว เห็นจะไม่มีงานไหนที่จะเหมาะกับชีวิตครอบครัวอีกแล้ว เพื่อเป็นการส่งเสริมสถาบันครอบครัวและการทำงานที่บ้าน วันนี้จึงขอเล่าเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ช่วยให้ชิวิตวุ่นวายของคุณพ่อที่เลี้ยงลูกไปด้วย ทำงานไปด้วยง่ายขึ้น

แยกตามหมวดหมู่ได้ดังนี้


งานถ่ายภาพ


โหมดควบคุมมือเดียวในกล้อง Nikon DSLR โดยปกติการปรับค่าต่างๆ ของกล้องจะต้องใช้สองมือ มือนึงกดปุ่มประจำหัวข้อนั้นๆ ค้างไว้ เช่น White Balance ส่วนอีกมือก็หมุนล้อปรับตัวเลือกไปพร้อมๆ กัน แต่ในระบบเมนูของกล้อง Nikon DSLR ตั้งแต่ D2X เป็นต้นมา สามารถตั้งให้มี sticky key ได้ (ศัพท์จากโปรแกรม CGI) คือกดปุ่มบอกหัวข้อครั้งเดียวแล้วหมุนล้อปรับตัวเลือกได้เลยโดยไม่ต้องกดปุ่มหัวข้อแช่ไว้ ทำให้สามารถใช้งานได้เมื่ออีกมือหนึ่งไม่ว่าง เช่นเมื่

ออุ้มลูกอยู่ ถ้าเป็นกล้องอื่นๆ เช่น H3 หรือ Mamiya คงต้องเอาลูกไปวางไว้ก่อน กล้อง DSLR สะดวกมาก ยิ่งถ้าใช้กับเลนส์ใหม่ๆ ของ Nikon ที่สามารถปรับหน้ากล้องได้ที่ตัวกล้องโดยที่ไม่ต้องเอาอีกมือมาคอยหมุนที่คอเลนส์ยิ่งทำให้ถ่ายไปด้วยอุ้มลูกไปด้วยก็ยังได้


งานปรับแต่งภาพ


โปรแกรม Apple Aperture นอกจากจะเป็นโปรแกรมที่รวมทุกสิ่งที่ช่างภาพจะพึงต้องการมาไว้ในโปรแกรมเดียวแล้ว ระบบเมนูของ Aperture ยังถูกออกแบบให้ใช้งานได้ด้วยมิอเพียงข้างเดียว ทีมงานผู้ออกแบบคงตั้งใจไว้ให้ผู้ใช้เหลือมือว่างไว้จิบเครื่องดื่มไปด้วยขณะทำงาน ไม่ได้ออกแบบไว้ให้อุ้มลูกไปด้วย แต่ผลที่ได้ก็คู่ควรแก่การคารวะไม่แพ้กัน


โปรแกรม Apple Shake ที่จริงแล้วถูกออกแบบมาสำหรับใช้ในงานเทคนิคพิเศษสำหรับภาพยนตร์ แต่ผมเอามาใช้ในงานถ่ายภาพเพราะมีความยืดหยุ่นในเรื่องของชนิดของไฟล์และระดับความลึกของข้้อมูลสีที่

ไม่จำกัด และผู้ใช้สามารถทำการแก้ไขข้อมูลภาพในระดับ data stream ได้โดยตรง ทำให้ได้งานที่มีคุณภาพสูง แต่ feature ที่ชอบที่สุดในระยะหลังนี้ คือ Shake สามารถสั่งงานได้โดยใช้มือเพียงข้างเดียว แต่ดโรฑีไม่ค่อยชอบดูพ่อใช้ Shake เท่าไรนัก


งานล้างขวดนม


แปรงล้างขวดนมยี่ห้อ Munchkin มีกระจุ๊บยางติดอยู่ที่ปลายด้ามจับ เพ่ือให้ใช้ยึดติดกับพื้นผิวที่เรียบๆ เช่นขอบอ่างล้างจาน หรือกระเบื้องบนกำแพงห้องน้ำ ทำให้สามารถล้างขวดนมได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว เอาแปรงไปแปะไว้กับผนังห้องน้ำแล้วเอาขวดนมที่ลงน้ำยาล้างขวดไว้แล้วสวมครอบส่วนที่เป็นขนแปรงแล้วก็ขยับขวดขึ้นลงเหมือนเวลาใช้ไม้ตีพริก 
มีประโยชน์มากๆ ทำให้สามารถพาดโรฑีไปล้างขวดนมในห้องน้ำด้วยได้ ไม่ต้องใส่คอกทิ้งไว้ในห้องคนเดียว

ดโรฑีชอบดูพ่อใช้แปรง Munchkin เพราะนอกจากท่าทางพ่อจะตลกๆ เวลาที่ใช้แล้วตัวแปรงเองยังสีสวยถูกใจเธออีกด้วย


ขวดนมของ Avent ครับ ทราบแล้วว่าขวดที่เป็น polycarbonate มันมีสาร BP-A และถูกห้ามขายไปแล้วในแคนาดา แต่มันล้างง่ายและใสกว่าขวดปลอดสารอย่าง Medela เยอะเลย ขวด Medela ล้างยากมาก คงเป็นเพราะเนื้อพลาสติกหยาบกว่า polycarbon ทำให้ไขมันจากนมแม่ติดได้แน่นกว่า นอกจากนี้ขวด Medela ยังนุ่มเกินไป ส่งผลให้ฝาจุกปีนเกลียวได้ง่าย ทำให้นมรั่วออกมาเลอะเทอะเวลาที่ลูกยกขวดขึ้นดูด ส่งผลให้เปลืองนมและยังต้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อลูกหลังจากให้นมทุกครั้งไป ถึงปัจจุบันจะไม่ได้ใช้ขวดใสๆ ทั้งหลายแหล่ที่มี BP-A แล้ว แต่ก็ยังคิดถึงข้อดีหลายๆ ข้อของพวกมันอยู่


งานเลี้ยงลูกทั่วไป


ระบบสั่งงานด้วยเสียงพูดบนคอมพิวเตอร์ Apple Mac ระบบปฏิบัติการของ Mac หรือ OSX มีระบบรับการควบคุมด้วยเสียงพูด และมีระบบแปลตัวหนังสือเป็นเสียงพูด ซึ่งทั้งสองสามารถนำมาใช้ควบคู่กับ script ง่ายๆ (โปรแกรมง่ายๆ) ที่เขียนเอง ทำให้การเลี้ยงลูกเป็นไปได้สะดวกขึ้น 

เวลาใช้งานก็เรียกชื่อคอมพิวเตอร์ก่อนเพื่อให้มันรอฟังคำสั่ง จากนั้นก็พูดคำสั่งไป คำสั่งนี้บางส่วนมีมาพร้อมกับเครื่องอยู่แล้วเช่นเมื่อเราพูดว่า Computer! What time is it? (กี่โมงแล้ว) หรือ What day is it? (วันนี้วันอะไร) เครื่องก็จะบอกเวลาหรือวันที่กลับเปีนเสียงพูดทางลำโพง หรือ Computer! Get my mail! เคร่ืองก็จะทำการเปิดโปรแกรม Mail และเช็คอีเมลให้ หากจะให้มันอ่านเมลให้ฟังด้วยเป็นเสียงพูดก็เขียน script เพิ่มอีกเล็กน้อยก็ใช้ได้แล้ว


มีประโยชน์มากเวลาที่ลูกนอนกอดเราจนหลับอยู่บนเตียงแล้วเราขยับตัวไปดูนาฬิกาไม่ได้ เราก็ What time is it? กับคอมโดยผ่านหูฟัง bluetooth เครื่องก็จะกระซิบบอกเวลาให้เรากลับมาทางหูฟัง เงียบ ง่าย และได้ใจความ จะได้รู้ว่าควรจะลุกไปเตรียมล้างขวดและอุ่นนมสำหรับรอบต่อไปได้หรือยัง


ที่ง่ายและมีประโยชน์อีกอย่างหนึ่งคือสามารถใช้ให้คอมพิวเตอร์ช่วยสร้างบันทึกข้อมูลการกินและขับถ่ายของลูกได้ด้วย เพียงสร้างคำสั่งที่เป็นคำพูดง่ายๆ เช่น Poo-poo (อึ), Pee-pee (ฉี่),  หรือ Milk, Water, Solid, ฯลฯ โดย เชื่อมคำสั่งเหล่านั้นเข้ากับ bash script ที่ทำหน้าที่เพิ่ม (append) วันที่ เวลา และ string ของประเภทของกิจกรรมลงใน text file ซึ่งเราสามารถมาเรียกดูภายหลังได้
เช่น เมื่อลูกฉี่ ขณะที่เปลียนผ้าอ้อมให้ลูก ก็พูดบอกคอมพิวเตอร์ว่า Computer! Pee-Pee! เครื่องก็จะตอบสนองโดยพูดคำสั่งนั้นซ้ำให้เราได้ยินเป็นการยืนยัน จากนั้นก็จะจดวันเวลาที่ลูกฉี่ลงไปใน text file พร้อมเพิ่ม keyword ว่า 'Pee-pee' ต่อท้าย Poo-poo, milk (ป้อนนม), water (ป้อนน้ำ) ฯลฯ ก็เหมือนกัน ต่างกันที่ keyword ที่เติมเข้าไปต่อท้าย

log ที่ได้ก็จะหน้าตาประมาณ

Fri Jul 18 10:58:36 Pee-pee
Fri Jul 18 11:33:33 Milk

Fri Jul 18 14:45:22 Milk

Fri Jul 18 15:02:15 Poo-poo


ง่ายๆ แบบนี้เป็นต้น หรือหากคุณพ่อคุณแม่ท่านใดขยันจะให้ script จดใน format ที่ส่งต่อให้ Excel plot เป็นกราฟให้ได้เลยก็คงได้ แต่ถ้ามีเวลาว่างมากขนาดนั้นก็คงจะดี


คิดว่าผมคงเป็นคนแรกที่ (บ้า) นำ feature นี้มาใช้ช่วยในการเลี้ยงลูก

ดโรฑีจะทำหน้างงเวลาที่อยู่กับพ่อสองคนแล้วเห็นพ่อหันไปพูดกับใครก็ไม่รู้ที่เหมือนจะไม่มีตัวตน แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ตอบกลับมา (Mac ที่บ้านตั้งไว้ให้เป็นเสียงผู้หญิง) ดโรฑีคงคิดอยู่ว่าพ่อแอบเอายัยแหม่มนี่ไปซ่อนไว้ที่ไหน ถ้าหนูหาเจอ (และพูดได้)เมื่อไหร่จะฟ้องแม่ให้เละเลย

7.14.2008

ขอต้อนรับสู่ KD Sherbet Photography: A Baby Shooter's Blog

เริ่มเดือนใหม่โดยการไปตั้งกองถ่ายนอกสถานที่ เก็บภาพน่ารักของลูกหลานสมาชิกเวบบอร์ด LSQ เกือบ 20 ครอบครัวในบ่ายวันเดียว เล่นเอาช่างภาพเกิอบหงายท้อง ปกติถ่ายครอบครัวละสองชั่วโมง มาคราวนี้ถ่ายสอง setup 20 บ้าน สนุกสนานราวงานมหกรรม 


อุปกรณ์ที่เตรียมไปเป็น strobe ของ Elinchrom กับซอฟท์บ๊อกซ์ ร่มไหม รีเฟลกขนาดกลาง ขาไฟ อุปกรณ์ยึดจับ ฉากหลัง muslin และขาตั้งพร้อมที่ม้วนฉาก เลนส์คู่ใจอีกประมาณนึง พร้อมกล้องดิจิตอลและกล้องฟิล์มอีกอย่างละตัว แต่เดิมว่าจะเอากล้อง Mamiya 6x7 ไปแต่มาคิดดูแล้วกลัวจะเป็นภาระ ไม่เหมาะกับงานนอกสถานที่เลยไม่เอาไปด้วย งานนี้เล่นเอารถ Honda คันน้อยเกือบเต็ม ต้องพับ baby seat ของดโรฑีเก็บไปก่อนทำให้ไม่สามารถพาดโรฑีไปด้วยได้ ขนไปได้แต่ภรรยา อุปกรณ์ และเครื่องแต่งกายเด็กกับพรอพนิดๆ หน่อยๆ


lighting setup คราวนี้ช่างภาพได้ทำการซ้อมปรับปรุงและทดสอบมาก่อนหน้าแล้วประมาณเดือนนึง ให้สภาพแสงนุ่มพร้อมทั้งแน้นความกลมกลึงของทารกได้อย่างดี ไม่มีเงาดำ แต่ให้ความแตกต่างระหว่าง subject กับ background ได้ชัดเจน (ดูภาพทดสอบที่ดโรฑีเป็นแบบให้)


สถานที่จริงเป็นร้านอาหารสำหรับครอบครัวที่มีมุมสนุกไว้ให้เด็กๆ เล่นกัน มีลูกค้าเด็กๆ เล่นกันพลุกพล่าน การขนย้ายอุปกรณ์เข้าไปในร้านไม่ยากเย็นนัก กลับลงไปที่รถแค่สองเที่ยวก็ขนขึ้นมาได้หมด แต่การจัด setup นั้นอีกเป็นอีกเรื่องนึง บริเวณที่ทางเจ้าของสถานที่จัดไว้ให้แคบกว่าที่คิดไว้ ไม่สามาถทิ้งระยะไฟได้ตามอย่าง setup ที่ออกแบบไว้ เลยต้องมาออกแบบกันใหม่เดี๋ยวนั้น มีข้อจำกัดหลายอย่างที่ทำให้ไม่ได้สภาพแสงอย่างที่ต้องการ แต่ถึงอย่างไรก็มีลูกค้ามารออยู่แล้วส่วนหนึ่ง ให้เขาทานอาหารกันไปก่อน ระหว่างที่ช่างภาพทดสอบ setup และ แป้งนั่งรถไฟฟ้ากลับไปรับดโรฑีที่บ้านพร้อมพาคุณยายมาเป็นพี่เลี้ยงด้วย 

เมื่อมากันพร้อมแล้วจึงเริ่มถ่าย เพราะต้องรอแป้งมาช่วยจัดคิว



ปรากฎว่านอกจาก lighting จะไม่ได้อย่างใจแล้วยังไม่มีพื้นที่ให้ใช้เลนส์เทเลอัตโนมัติที่เตรียมมาอีกด้วย ลูกค้าครอบครัวแรกผ่านไปอย่างโอเค คือไม่ได้ดีเลฺิศ ช่างภาพไม่ถูกใจกับภาพที่ได้เลย ระหว่างถ่ายครอบครัวที่สองเลยทดลองปรับไฟไปด้วยเป็นระยะ ก็ได้แสงที่ดีขึ้นมาหน่อย แต่ระยะก็ยังไม่ได้อยู่ดี ในที่สุดก็เลยตัดสินใจว่าใช้เลนส์แมนนวลเป็นเทเลระยะต้นถ่ายดีกว่า ภาพที่ออกมาก็ดีขึ้นสมใจ แต่ช่างภาพต้องทำงานหนักขึ้นหน่อยเพราะไม่ใช่เลนส์แบบอัตโนมัติ ต้องปรับโฟกัสและหน้ากล้องเอง ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่ได้ทำให้งานยากขึ้นเพราะโดยส่วนตัวแล้วช่างภาพไม่ชอบใช้เลนส์ออโต้อยู่แล้วเพราะถ่ายภาพโดยใช้กล้องฟิล์ม 120 และกล้อง rangefinder เป็นหลัก แต่ที่เตรียมเลนส์ออโต้ไปคราวนี้ก็เพราะคิดว่าน่าจะถ่ายภาพเด็กซนๆ ได้ง่ายขึ้น ที่สุดก็ไม่ได้ใช้


การถ่ายภาพเด็กด้วยเลนส์แมนวลเป็นการออกกำลังกายที่ดีแบบหนึ่ง เพราะต้องใช้การเคลื่อนไหวร่างกายมาช่วยในการปรับโฟกัสด้วย ใช้มือหมุนเลนส์เพื่อโฟกัสอย่างเดียวนั้นตามเด็กๆ ไม่ทัน


ลูกค้าทุกท่านใจเย็นและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี บ้างก็เล่นกับลูกไปบ้างก็ให้นมลูกไปขณะที่รอส่วนที่เหลือก็มาที่ setup มาช่วยหลอกล่อลูกของลูกค้าท่านอื่นที่กำลังถ่ายอยู่ให้ในขณะที่ยังไม่ถึงคิวของตัวเอง ส่วนบางคนที่ลูกน้อยรอจนหลับไปก็ยอมให้ท่านอื่นลัดคิวไปก่อนแล้วค่อยมาถ่ายทีหลังเมื่อลูกตื่นแล้ว ทุกอย่างจึงสำเร็จลงได้อย่างราบรื่นไม่มีการเสียน้ำตา ขอบพระคุณทุกๆ 

ท่านสำหรับความรัก ความอดทน และความเข้าใจ


การเก็บของกลับนั้นยากกว่าตอนขามาเพราะถ่ายงานมาทั้งวันและเหนื่อยมากแล้ว ขามายังมากันได้แค่สองคนกับอุปกรณ์ แต่ขากลับมีคุณยายกับดโรฑีเพิ่มมาอีกสองคน แล้วยังมีของขวัญต่างๆ ที่ลูกค้าใจดีทุกท่านนำมาให้อีกหลายกล่องใหญ่ เอ แล้วจะกลับบ้านกันอย่างไรดีหนอ . . . ช่างภาพเลยตัดสินใจแบกอุปกรณ์บางส่วนขึ้นรถไฟฟ้ากลับไปเอง ให้คุณยายขับรถพาแป้งและดโรฑีกลับบ้านไปก่อน

กว่าช่างภาพเองจะเดินจากสถานีรถไฟฟ้ากลับถึงบ้านพร้อมอุปกรณ์ขาเกือบลาก หนักมาก หรือว่าเราจะแก่แล้วจริงๆ แต่ก่อนแบกอุปกรณ์หนักกว่านี้เข้าป่าที่เมืองนอกไปได้ทีนึงหลายๆ วัน มาเดี๋ยวนี้แค่เดินเข้าซอยก็จะไม่ไหวแล้วหรือ


กลับมาที่ทำงาน (aka. บ้าน) อุ้มลูกมือนึง อีกมือก็ edit รูปไปด้วยภาพส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาอะไรมาก และโดยส่วนตัวไม่ชอบแก้ไขภาพให้ผิดธรรมชาติอยู่แล้ว จึงเหลือแค่การปรับแต่งน้ำหนักภาพและออกแบบโทนสีเป็นหลัก ลูกสาวคนดีเห็นพ่อนั่งเพ่งรูปเด็

กคนอื่นอยู่บนจอก็ส่งเสียงประท้วงพร้อมพยายามยื่นมือและเท้าเข้ามาช่วย (ขัดขวางการ) แต่งภาพด้วย

 ดูเธอจะชอบคอมฯ คิดว่าถ้าดโรฑีจับ mouse ได้เมื่อไหร่จะได้ใช้เป็นลูกมือซะเลย


การแต่งภาพขั้นแรกเสร็จเร็วกว่าที่คิดแค่นั่งทำอยู่สองคืนก็เรียบร้อย มานึกๆ ดูงานแค่นี้ก็ง่ายกว่่าแต่ก่อนมาก เมื่อก่อนนี้สมัยทำงานภาพยนตร์เวลาจะลบคน สายสลิง หรือตึกออกจากภาพ ต้องลบมันออกจากทุกเฟรม ภาพยนตร์ที่เราเห็นกันนั้นประกอบไปด้วยภาพนิ่งเล่นต่อเนื่องด้วยความเร็วสูง 24 ภาพในทุกๆ หนึ่งวินาที เวลาจะลบอะไรออก ก็ต้องมานั่ง retouch ออกทุกๆ สามหรือห้าเฟรมไป บางทีก็ต้องลบทุกเฟรม และต้องทำให้เนี๊ยบสุดๆ อีกด้วยไม่งั้นคนดูจะเห็นรอยยุ๊กยิกในบริเวณที่ถูกแก้ไข แต่สำหรับงานภาพนิ่งแล้ว retouch แต่รูปต่อรูปเอาให้เนี๊ยบที่สุดเป็นเสร็จงาน