พาดโรฑีลงไปเที่ยวกระบี่มาครับ สนุกมากๆ คราวที่แล้วที่พาไปด้วยตอนลงไปพูดที่ภูเก็ตนั้นดโรฑีเพิ่งจะห้าเดือน เห็นทะเลครั้งแรกคราวนั้นยังสนุกสนานซะมากมาย คราวนี้วิ่งได้แล้วยิ่งเริงร่าเข้าไปใหญ่ วิ่งลุยคลื่นเล่นตักทรายอยู่ที่หาดของโรงแรมอยู่เป็นชั่วโมงไม่เหน็ดเหนื่อย ทรายเป็นของใหม่สำหรับเธอ เธอชอบเล่นทรายมากขนาดพอกลับเข้ามาในห้องพักเห็นพื้นคอนกรีตโรยกรวดบนเฉลียงนอกห้องก็ยังนึกว่าเป็นทรายรีบกลับเข้าห้องไปคว้ากระป๋องทรายกับที่ขุดคู่ใจออกมาขุดทันที สักพักรู้แล้วว่ามันไม่ใช่ทรายก็ทำเขินเอียงอายขว้างที่ตักพร้อมส่งเสียงต่อว่ากลบเกลื่อน
โรงแรมที่ไปพักมีหาดค่อนข้างกว้างเมื่อเทียบกับที่อื่นๆ ในกระบี่ แต่ที่แปลกไม่เหมือนที่อื่นคือมีบ่อและธารน้ำเล็กๆ ที่มีแต่เลน เขาคุยนักคุยหนาว่าเจ้าเลนที่อยู่รอบๆ โรงแรมนี้ ไม่ได้มีไว้เพื่อเพาะยุงอย่างเดียว หากแต่เป็นป่าชายเลนตามธรรมชาติดั้งเดิมที่โรงแรมตั้งใจอนุรักษ์ไว้ แต่เดิมเป็นบ้านแสนสุขของปลาตีนและสัตว์นานาชนิด ถือเป็นจุดขายข้อหนึ่งของโรงแรมนี้เลยทีเดียว แต่สภาพของป่าดูจะเปลี่ยนไปหลังจากเหตุการณ์ทสึนามิ ทำให้สัตว์เหล่านั้นย้ายออกไป เหลือแต่พืชและสัตว์ตระกูลเพรียงที่ไม่ได้มีอิสระในการเคลื่อนที่อย่างใครเขากับพวกปูซึ่งเป็นประเภทเก็บกวาดไม่เรื่องมากอยู่แล้ว
ถ่ายรูปดโรฑีเริงร่าชายหาดอยู่เกือบสามชั่วโมงจนพระอาทิตย์ตกจึงออกเดินกลับห้อง ระหว่างที่เดินบนทางเดินเลาะป่าชายเลนของโรงแรมฝาครอบเลนส์ของซูมตัวที่เพิ่งใช้ไปหลุดกระเด็นออกจากกล้อง
ฝานี้มี ปัญหามาพักใหญ่แล้ว รำๆ ว่าจะหล่นหายหลายครั้งแล้วในช่วงสิบสองปีของอายุเลนส์ แต่ก็กู้กลับมาได้ทุกครั้ง แถมตลอดกว่ายี่สิบปีที่ถ่ายรูปมา ทำฝาเลนส์หายไปแค่อันเดียว ทุกทีที่ตกก็ไม่เห็นมันจะเคยกลิ้ง แต่คราวนี้มันกลิ้งหลุนๆ หลบสิ่งกีดขวางต่างๆ จนตกลงไปจากสะพาน ลงไปในแอ่งเลนข้างล่าง
ใจหนึ่งว่า อย่าเลยดนพ นี่คงถึงคราวของมันแล้ว ปล่อยมันไปเถอะ
พอดีภรรยาสุดที่รักเขาเป็นเดิอดเป็นร้อนแทน รำจะตะโกนเรียกให้พนักงานลงไปเก็บ แต่ผมเป็นประเภทพึ่งพาตนเอง เลนส์ของเรา เรากู้เอง จึงรีบเดินลงไปที่ตลิ่ง
อย่างแรกที่คิดก่อนจะกระโดดลงไปคือ มันไม่ได้สกปรกอย่างที่ผู้คนส่วนมากคิด ถึงมันจะดำก็จริงแต่ความดำนั้นหาใช่ความสกปรกไม่ ในเนื้อเลนประกอบไปด้วยสารอินทรีย์ต่างๆ มากมาย รวมไปถึงที่มีประโยชน์ก็มาก เลนจากบางที่ยังมีคนไปนำมาพอกตัวเพื่อประโยชน์ทางการรักษา เรื่องกลัวสกปรกก็หมดไป
อย่างที่สองคือ มันดูเหมือนจะง่าย คือ หนึ่งเท่าที่ดูด้วยตาเหมือนว่าน้ำจะไม่ลึกมาก ในแสงสลัวๆ มองเห็นเลนที่นอนก้นอยู่ชัดเจน เดาดูคร่าวๆ ว่าน่าจะลึกราวๆ สองฟุตกว่าๆ สองคือเมื่อดูจากลักษณะของภูมิประเทศรอบๆ แล้ว เดาว่าพื้นข้างล่างน่าจะเป็นหินมนๆ แบบเดียวกับที่อยู่ตามชายตลิ่ง ไม่มีอะไรน่ากลัว สาม ดูเหมือนน้ำจะนิ่งมาก ไม่เห็นวี่แววการเคลื่อนไหวของสัตว์ที่อาจเป็นอันตราย
สามคือ มันไม่น่าจะเป็นการทำลายหรือรบกวนธรรมชาติอย่างร้ายแรงอะไร เพราะไหนๆ สัตว์ต่างๆ ก็ย้ายกันออกไปตั้งแต่หลังทสึนามิแล้ว
นึกได้ดังนั้นก็จินตนาการไปว่าลงไปอาบโคลนสปา ว่าแล้วก็ก้าวลงไปจากตลิ่งทันที
ปรากฎว่าเท้าจมหายไปจนเกือบเสียหลัก พื้นที่มองเห็นเหมือนตื้นๆ นั้นเป็นเลนอ่อนๆ เหมิอนเป็นชั้นตะกอนหนาๆ ที่แขวนลอยอยู่ในน้ำ ไม่ใช่พื้นดินอย่างที่คิดไว้ จึงต้องรีบก้าวอีกขาหนึ่งตามลงไปเพื่อไม่ให้เสียหลัก
พอรู้ตัวอีกทีปรากฎว่านายดนพมายืนอยู่ในเลนที่สูงถึงชายโครงเท้าข้างหนึ่งติดอยู่ในเลนข้างล่าง อีกข้างหนึ่งโชคดีกว่าเหยียบลงไปเจอหินเรียบๆ เลยพอทรงตัวอยู่ได้
แย่ล่ะสิ ดูท่ามันจะยากกว่าที่คิดไว้ แต่ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ลองดูสักตั้งหนึ่งแล้วกัน
ยกเท้าที่จมเลนอยู่ขึ้นมา ปรากฏว่ารองเท้าแตะแบบหุ้มส้นขาดทันใด พื้นยางส่วนหนาของรองเท้าไม่ยอมกลับขึ้นมาด้วย พอหาที่เหมาะๆ ได้ก็วางเท้าข้างที่กู้มาได้ลงไปแล้วเหยียบ
ผลปรากฎว่าเท้าที่อยู่ในรองเท้าไหลลื่นออกมาเหยียบเปลือกหอยหรืออะไรสักอย่างเข้าเต็มๆ นึกในใจว่าต้องเป็นเจ้าหอยขาวที่คุณยามเตือนไว้แน่นอน โอ้โฮมันคมจริงๆ นี่ขนาดเหยียบแค่เบาๆ ถ้าไม่ดูตาม้าตาเรือกระโดดตูมลงมาจากตลิ่งเลยมีหวังได้บอกลานิ้วเท้าสักนิ้วสองนิ้วแน่นอน
รู้สึกเจ็บแปลบตรงนิ้วโป้งขวา รู้ทันทีว่าโดนบาดค่อนข้างลึก เพราะมันไม่ได้แสบ แต่มีอาการตุบๆ ตามมาทันที ใจอยากจะยกเท้าขึ้นมาสำรวจความเสียหาย แต่ก็รู้ว่าถ้าทำอย่างนั้นก็คงจะเสียหลักหกคะเมนลงไปในเลน ดีไม่ดีคราวนี้อาจเสียอวัยวะอย่างอื่นที่อยู่สูงกว่านิ้วโป้งเท้า แป้งคงไม่ปลื้ม
ตัดสินใจเดินต่อไปอย่างทุลักทุเล เจ้าพื้นรองเท้าอีกข้างที่ยังเหลืออยู่ก็หลุดออกมาครึ่งหนึ่ง ทำท่าจะตามพี่ชายมันไป ที่จริงถ้าให้มันขาดหลุดไปเลยคงจะเดินง่ายกว่านั้นแต่พอดีไม่อยากเอาเศษยางไปทำลายธรรมชาติแถวนั้นเพิ่มขึ้นอีก เลยถนอมน้ำใจมันไว้แล้วประคองกันไปต่อไปจนมาถึงจุดที่เคยเห็นฝาเลนส์จมอยู่
ว่าแต่ว่า ทำไมมันถึงได้จม มันเป็นพลาสติกไม่ใช่หรือ ถ้ามันจมในน้ำจืดก็ว่าไปอย่าง แต่นี่มันน้ำเค็ม มันยิ่งน่าจะลอยไม่ใช่หรือ กฎของการลอยมันว่ายังไงนะ ของทุกอย่างจะหยุดจมเมื่อความหนาแน่นของน้ำโดยรอบเท่ากับหรือมากกว่าความหนาแน่นของตัวมัน แล้วไอ้เจ้าฝาเลนส์นี่มันน่าจะลอยอยู่ลึกแค่ไหนหนอ คิดไว่้ว่า ถ้าหาเจอคงไม่ใช้ แต่จะเอาไปเก็บใส่กรอบไว้เป็นที่ระลึก
ปรากฎว่า หาไม่เจอครับ ยิ่งก้าวขา น้ำก็ยิ่งขุ่น โอกาสที่จะมองเห็นของที่จมอยู่ก็ยิ่งจะน้อยลงไปทุกที
ยามบนสะพานเขาบอกว่าให้รอหน่อย เพื่อนๆ เขากำลังเอาไฟฉายมาให้แล้ว ได้ยินอย่างนั้นถึงนึกได้ว่าเรานี่มันโง่ ไฟฉายในกระเป๋ากล้องเราก็มี กันน้ำซะด้วย ทำไมไม่รู้จักติดมือลงมาด้วย มัวแต่กลัวเมียโกรธ กลัวลูกรอ รีบร้อนลงมา ดูสิเมียก็พาลูกกลับห้องไปแล้ว ไม่มีใครที่จะวานให้ช่วยหยิบให้ได้
จึงต้องรอต่อไปท่ามกลางความมืดและฝูงยุง
ไฟฉายมาแล้ว สว่างโร่เลย แต่ก็ไม่ช่วยอะไร ยังหาไม่เจออยู่ดี ขนาดเอามือลงไปแกว่างหาในระดับความลึกที่คิดว่ามันน่าจะลอยอยู่ก็ยังไม่เจอ เจ้ายุงพวกนี้มันก็ทรมาณจิตใจกันเสียเหลือเกิน เอาวะ พยายามแล้ว เลิกก็เลิก เลยให้คุณยามเขาเอาไฟฉายวิเศษส่องนำทางให้
สำรวจความเสียหาย แผลที่นิ้วเท้าลึกกว่าที่คิดไว้ คือ นิ้วโป้งเท้าแบะอ้าออกเหมือนกีบเท้าสัตว์ยาวประมาณนิ้วนึง ไม่แสบแต่เจ็บหน่วงๆ และที่น่าแปลกคือไม่มีเลือกออกให้เห็น มีแต่เลนดำๆ อัดอยู่ในปากแผลเต็มไปหมด เอ หรือว่าเลนมันจะมีสรรพคุณห้ามเลือดหนอ ตักไปทำยาขายจะมีคนซื้อไหมนะ
นึกว่า อย่างแย่สุดๆ คืออะไร คิดเอาเองว่าคงเป็นพยาธิตัวจี๊ดที่อาจฉวยโอกาสหลบเข้าไปในตัว สักวันอาจมาโผล่ที่ตาหรือสมอง เลยตั้งใจว่ากลับไปจะหายาถ่ายพยาธิทาน ที่เหลือเป็นรอยยุงกัด แต่ที่น่าแปลกคือไม่ได้บวมแดงเหมือนเวลายุงที่กรุงเทพกัด อย่างอื่นถ้าไม่มีอาการติดเชื้อก็คงไม่มีปัญหาอะไร
เดินย่องแย่งกลับมาถึงห้องโดนแป้งด่าเป็นชุด บอกว่าห้ามแล้วทำไมยังดื้อลงไปจนเท้าเจ็บอีก ทำไมไม่ให้คนอื่นลงไป อ้าว ของๆ เราเองจะให้คนอื่นเขาเสี่ยงตายลงไปงมได้อย่างไร จริงไหมครับ ก็ไม่ทราบ ผมทำหล่นลงไปเองแล้วเห็นว่ามันน่าจะยังพอกู้ได้ก็เลยลงไป ก็แค่นั้น ไม่ได้คิดอะไรมาก จะไปหาซื้อใหม่ก็ไม่น่าจะเกินสามร้อยบาท หรือจะใช้ของ Mamiya สวมแทนก็ได้ เพราะเป็นขนาด 77มม. เหมือนกัน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไปเที่ยวคราวหน้า จงเก็บเลนส์เทเลใหญ่ๆ ไว้ที่บ้าน เอาไปแต่พวกซูมอเนกประสงค์เช่น 24-70 และเทเลเล็กเช่น 135 หรือ 85 ไปแทน พอขนเลนส์ใหญ่ๆ ไป ขนาดของกระเป๋าอุปกรณ์ก็ต้องใหญ่ขึ้นตามไปด้วย กระเป๋ายิ่งใหญ่ก็ไม่เพียงแต่จะเทอะทะเกะกะ ยังหนักอีกด้วย ทริปนี้ผมใช้ Billingham 445 แบบที่เป็น Nytex สาเหตุที่เลือกใบนี้ไปเป็นเพียงเพราะมันใส่กล้องพร้อมเลนส์เทเลยาวลงไปได้เลยโดยไม่ต้องถอดเลนส์ออกก่อน แต่ตัวกระเป๋าเปล่าๆ หนักประมาณ 1 กก. แล้ว ใส่อุปกรณ์ทุกอย่างลงไปหมด รวมอุปกรณ์เลี้ยงลูกด้วยก็จะหนักประมาณ 20 กก จัดว่าหนักเกินไป หนักพอๆ กับหากจะต้องขนเตียงนอนของดโรฑีไปด้วย ถ้าต้องสะพายกระเป๋าไป อุ้มดโรฑีไปด้วยอย่างที่ทำคราวนี้ แขนย่อมต้องล้าเป็นธรรมดา เป็นสาเหตุให้ซุ่มซ่าม ทำข้าวของตกหล่น เที่ยวไม่สนุกเท่าที่ควร ทริปหน้าว่าจะลองกลับไปใช้ Leica M ตัวน้อยตามเดิม พกใส่กระเป๋าทะเลหรือหย่อนลงไปในกระเป๋ากางเกงได้เลย เก็บมือไว้อุ้มลูกและเก็บแรงไว้สนุกกับเธอดีกว่า