4.01.2009

ฝาเลนส์ ฝ่าเลน


พาดโรฑีลงไปเที่ยวกระบี่มาครับ สนุกมากๆ คราวที่แล้วที่พาไปด้วยตอนลงไปพูดที่ภูเก็ตนั้นดโรฑีเพิ่งจะห้าเดือน เห็นทะเลครั้งแรกคราวนั้นยังสนุกสนานซะมากมาย คราวนี้วิ่งได้แล้วยิ่งเริงร่าเข้าไปใหญ่ วิ่งลุยคลื่นเล่นตักทรายอยู่ที่หาดของโรงแรมอยู่เป็นชั่วโมงไม่เหน็ดเหนื่อย ทรายเป็นของใหม่สำหรับเธอ เธอชอบเล่นทรายมากขนาดพอกลับเข้ามาในห้องพักเห็นพื้นคอนกรีตโรยกรวดบนเฉลียงนอกห้องก็ยังนึกว่าเป็นทรายรีบกลับเข้าห้องไปคว้ากระป๋องทรายกับที่ขุดคู่ใจออกมาขุดทันที สักพักรู้แล้วว่ามันไม่ใช่ทรายก็ทำเขินเอียงอายขว้างที่ตักพร้อมส่งเสียงต่อว่ากลบเกลื่อน


โรงแรมที่ไปพักมีหาดค่อนข้างกว้างเมื่อเทียบกับที่อื่นๆ ในกระบี่ แต่ที่แปลกไม่เหมือนที่อื่นคือมีบ่อและธารน้ำเล็กๆ ที่มีแต่เลน เขาคุยนักคุยหนาว่าเจ้าเลนที่อยู่รอบๆ โรงแรมนี้ ไม่ได้มีไว้เพื่อเพาะยุงอย่างเดียว หากแต่เป็นป่าชายเลนตามธรรมชาติดั้งเดิมที่โรงแรมตั้งใจอนุรักษ์ไว้ แต่เดิมเป็นบ้านแสนสุขของปลาตีนและสัตว์นานาชนิด ถือเป็นจุดขายข้อหนึ่งของโรงแรมนี้เลยทีเดียว แต่สภาพของป่าดูจะเปลี่ยนไปหลังจากเหตุการณ์ทสึนามิ ทำให้สัตว์เหล่านั้นย้ายออกไป เหลือแต่พืชและสัตว์ตระกูลเพรียงที่ไม่ได้มีอิสระในการเคลื่อนที่อย่างใครเขากับพวกปูซึ่งเป็นประเภทเก็บกวาดไม่เรื่องมากอยู่แล้ว


ถ่ายรูปดโรฑีเริงร่าชายหาดอยู่เกือบสามชั่วโมงจนพระอาทิตย์ตกจึงออกเดินกลับห้อง ระหว่างที่เดินบนทางเดินเลาะป่าชายเลนของโรงแรมฝาครอบเลนส์ของซูมตัวที่เพิ่งใช้ไปหลุดกระเด็นออกจากกล้อง

ฝานี้มี ปัญหามาพักใหญ่แล้ว รำๆ ว่าจะหล่นหายหลายครั้งแล้วในช่วงสิบสองปีของอายุเลนส์ แต่ก็กู้กลับมาได้ทุกครั้ง แถมตลอดกว่ายี่สิบปีที่ถ่ายรูปมา ทำฝาเลนส์หายไปแค่อันเดียว ทุกทีที่ตกก็ไม่เห็นมันจะเคยกลิ้ง แต่คราวนี้มันกลิ้งหลุนๆ หลบสิ่งกีดขวางต่างๆ จนตกลงไปจากสะพาน ลงไปในแอ่งเลนข้างล่าง

ใจหนึ่งว่า อย่าเลยดนพ นี่คงถึงคราวของมันแล้ว ปล่อยมันไปเถอะ

พอดีภรรยาสุดที่รักเขาเป็นเดิอดเป็นร้อนแทน รำจะตะโกนเรียกให้พนักงานลงไปเก็บ แต่ผมเป็นประเภทพึ่งพาตนเอง เลนส์ของเรา เรากู้เอง จึงรีบเดินลงไปที่ตลิ่ง


อย่างแรกที่คิดก่อนจะกระโดดลงไปคือ มันไม่ได้สกปรกอย่างที่ผู้คนส่วนมากคิด ถึงมันจะดำก็จริงแต่ความดำนั้นหาใช่ความสกปรกไม่ ในเนื้อเลนประกอบไปด้วยสารอินทรีย์ต่างๆ มากมาย รวมไปถึงที่มีประโยชน์ก็มาก เลนจากบางที่ยังมีคนไปนำมาพอกตัวเพื่อประโยชน์ทางการรักษา เรื่องกลัวสกปรกก็หมดไป

อย่างที่สองคือ มันดูเหมือนจะง่าย คือ หนึ่งเท่าที่ดูด้วยตาเหมือนว่าน้ำจะไม่ลึกมาก ในแสงสลัวๆ มองเห็นเลนที่นอนก้นอยู่ชัดเจน เดาดูคร่าวๆ ว่าน่าจะลึกราวๆ สองฟุตกว่าๆ สองคือเมื่อดูจากลักษณะของภูมิประเทศรอบๆ แล้ว เดาว่าพื้นข้างล่างน่าจะเป็นหินมนๆ แบบเดียวกับที่อยู่ตามชายตลิ่ง ไม่มีอะไรน่ากลัว สาม ดูเหมือนน้ำจะนิ่งมาก ไม่เห็นวี่แววการเคลื่อนไหวของสัตว์ที่อาจเป็นอันตราย

สามคือ มันไม่น่าจะเป็นการทำลายหรือรบกวนธรรมชาติอย่างร้ายแรงอะไร เพราะไหนๆ สัตว์ต่างๆ ก็ย้ายกันออกไปตั้งแต่หลังทสึนามิแล้ว

นึกได้ดังนั้นก็จินตนาการไปว่าลงไปอาบโคลนสปา ว่าแล้วก็ก้าวลงไปจากตลิ่งทันที

ปรากฎว่าเท้าจมหายไปจนเกือบเสียหลัก พื้นที่มองเห็นเหมือนตื้นๆ นั้นเป็นเลนอ่อนๆ เหมิอนเป็นชั้นตะกอนหนาๆ ที่แขวนลอยอยู่ในน้ำ ไม่ใช่พื้นดินอย่างที่คิดไว้ จึงต้องรีบก้าวอีกขาหนึ่งตามลงไปเพื่อไม่ให้เสียหลัก


พอรู้ตัวอีกทีปรากฎว่านายดนพมายืนอยู่ในเลนที่สูงถึงชายโครงเท้าข้างหนึ่งติดอยู่ในเลนข้างล่าง อีกข้างหนึ่งโชคดีกว่าเหยียบลงไปเจอหินเรียบๆ เลยพอทรงตัวอยู่ได้


แย่ล่ะสิ ดูท่ามันจะยากกว่าที่คิดไว้ แต่ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ลองดูสักตั้งหนึ่งแล้วกัน

ยกเท้าที่จมเลนอยู่ขึ้นมา ปรากฏว่ารองเท้าแตะแบบหุ้มส้นขาดทันใด พื้นยางส่วนหนาของรองเท้าไม่ยอมกลับขึ้นมาด้วย พอหาที่เหมาะๆ ได้ก็วางเท้าข้างที่กู้มาได้ลงไปแล้วเหยียบ

ผลปรากฎว่าเท้าที่อยู่ในรองเท้าไหลลื่นออกมาเหยียบเปลือกหอยหรืออะไรสักอย่างเข้าเต็มๆ นึกในใจว่าต้องเป็นเจ้าหอยขาวที่คุณยามเตือนไว้แน่นอน โอ้โฮมันคมจริงๆ นี่ขนาดเหยียบแค่เบาๆ ถ้าไม่ดูตาม้าตาเรือกระโดดตูมลงมาจากตลิ่งเลยมีหวังได้บอกลานิ้วเท้าสักนิ้วสองนิ้วแน่นอน


รู้สึกเจ็บแปลบตรงนิ้วโป้งขวา รู้ทันทีว่าโดนบาดค่อนข้างลึก เพราะมันไม่ได้แสบ แต่มีอาการตุบๆ ตามมาทันที ใจอยากจะยกเท้าขึ้นมาสำรวจความเสียหาย แต่ก็รู้ว่าถ้าทำอย่างนั้นก็คงจะเสียหลักหกคะเมนลงไปในเลน ดีไม่ดีคราวนี้อาจเสียอวัยวะอย่างอื่นที่อยู่สูงกว่านิ้วโป้งเท้า แป้งคงไม่ปลื้ม


ตัดสินใจเดินต่อไปอย่างทุลักทุเล เจ้าพื้นรองเท้าอีกข้างที่ยังเหลืออยู่ก็หลุดออกมาครึ่งหนึ่ง ทำท่าจะตามพี่ชายมันไป ที่จริงถ้าให้มันขาดหลุดไปเลยคงจะเดินง่ายกว่านั้นแต่พอดีไม่อยากเอาเศษยางไปทำลายธรรมชาติแถวนั้นเพิ่มขึ้นอีก เลยถนอมน้ำใจมันไว้แล้วประคองกันไปต่อไปจนมาถึงจุดที่เคยเห็นฝาเลนส์จมอยู่

ว่าแต่ว่า ทำไมมันถึงได้จม มันเป็นพลาสติกไม่ใช่หรือ ถ้ามันจมในน้ำจืดก็ว่าไปอย่าง แต่นี่มันน้ำเค็ม มันยิ่งน่าจะลอยไม่ใช่หรือ กฎของการลอยมันว่ายังไงนะ ของทุกอย่างจะหยุดจมเมื่อความหนาแน่นของน้ำโดยรอบเท่ากับหรือมากกว่าความหนาแน่นของตัวมัน แล้วไอ้เจ้าฝาเลนส์นี่มันน่าจะลอยอยู่ลึกแค่ไหนหนอ คิดไว่้ว่า ถ้าหาเจอคงไม่ใช้ แต่จะเอาไปเก็บใส่กรอบไว้เป็นที่ระลึก


ปรากฎว่า หาไม่เจอครับ ยิ่งก้าวขา น้ำก็ยิ่งขุ่น โอกาสที่จะมองเห็นของที่จมอยู่ก็ยิ่งจะน้อยลงไปทุกที

ยามบนสะพานเขาบอกว่าให้รอหน่อย เพื่อนๆ เขากำลังเอาไฟฉายมาให้แล้ว ได้ยินอย่างนั้นถึงนึกได้ว่าเรานี่มันโง่ ไฟฉายในกระเป๋ากล้องเราก็มี กันน้ำซะด้วย ทำไมไม่รู้จักติดมือลงมาด้วย มัวแต่กลัวเมียโกรธ กลัวลูกรอ รีบร้อนลงมา ดูสิเมียก็พาลูกกลับห้องไปแล้ว ไม่มีใครที่จะวานให้ช่วยหยิบให้ได้


จึงต้องรอต่อไปท่ามกลางความมืดและฝูงยุง


ไฟฉายมาแล้ว สว่างโร่เลย แต่ก็ไม่ช่วยอะไร ยังหาไม่เจออยู่ดี ขนาดเอามือลงไปแกว่างหาในระดับความลึกที่คิดว่ามันน่าจะลอยอยู่ก็ยังไม่เจอ เจ้ายุงพวกนี้มันก็ทรมาณจิตใจกันเสียเหลือเกิน เอาวะ พยายามแล้ว เลิกก็เลิก เลยให้คุณยามเขาเอาไฟฉายวิเศษส่องนำทางให้


สำรวจความเสียหาย แผลที่นิ้วเท้าลึกกว่าที่คิดไว้ คือ นิ้วโป้งเท้าแบะอ้าออกเหมือนกีบเท้าสัตว์ยาวประมาณนิ้วนึง ไม่แสบแต่เจ็บหน่วงๆ และที่น่าแปลกคือไม่มีเลือกออกให้เห็น มีแต่เลนดำๆ อัดอยู่ในปากแผลเต็มไปหมด เอ หรือว่าเลนมันจะมีสรรพคุณห้ามเลือดหนอ ตักไปทำยาขายจะมีคนซื้อไหมนะ

นึกว่า อย่างแย่สุดๆ คืออะไร คิดเอาเองว่าคงเป็นพยาธิตัวจี๊ดที่อาจฉวยโอกาสหลบเข้าไปในตัว สักวันอาจมาโผล่ที่ตาหรือสมอง เลยตั้งใจว่ากลับไปจะหายาถ่ายพยาธิทาน ที่เหลือเป็นรอยยุงกัด แต่ที่น่าแปลกคือไม่ได้บวมแดงเหมือนเวลายุงที่กรุงเทพกัด อย่างอื่นถ้าไม่มีอาการติดเชื้อก็คงไม่มีปัญหาอะไร


เดินย่องแย่งกลับมาถึงห้องโดนแป้งด่าเป็นชุด บอกว่าห้ามแล้วทำไมยังดื้อลงไปจนเท้าเจ็บอีก ทำไมไม่ให้คนอื่นลงไป อ้าว ของๆ เราเองจะให้คนอื่นเขาเสี่ยงตายลงไปงมได้อย่างไร จริงไหมครับ ก็ไม่ทราบ ผมทำหล่นลงไปเองแล้วเห็นว่ามันน่าจะยังพอกู้ได้ก็เลยลงไป ก็แค่นั้น ไม่ได้คิดอะไรมาก จะไปหาซื้อใหม่ก็ไม่น่าจะเกินสามร้อยบาท หรือจะใช้ของ Mamiya สวมแทนก็ได้ เพราะเป็นขนาด 77มม. เหมือนกัน


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไปเที่ยวคราวหน้า จงเก็บเลนส์เทเลใหญ่ๆ ไว้ที่บ้าน เอาไปแต่พวกซูมอเนกประสงค์เช่น 24-70 และเทเลเล็กเช่น 135 หรือ 85 ไปแทน พอขนเลนส์ใหญ่ๆ ไป ขนาดของกระเป๋าอุปกรณ์ก็ต้องใหญ่ขึ้นตามไปด้วย กระเป๋ายิ่งใหญ่ก็ไม่เพียงแต่จะเทอะทะเกะกะ ยังหนักอีกด้วย ทริปนี้ผมใช้ Billingham 445 แบบที่เป็น Nytex สาเหตุที่เลือกใบนี้ไปเป็นเพียงเพราะมันใส่กล้องพร้อมเลนส์เทเลยาวลงไปได้เลยโดยไม่ต้องถอดเลนส์ออกก่อน แต่ตัวกระเป๋าเปล่าๆ หนักประมาณ 1 กก. แล้ว ใส่อุปกรณ์ทุกอย่างลงไปหมด รวมอุปกรณ์เลี้ยงลูกด้วยก็จะหนักประมาณ 20 กก จัดว่าหนักเกินไป หนักพอๆ กับหากจะต้องขนเตียงนอนของดโรฑีไปด้วย ถ้าต้องสะพายกระเป๋าไป อุ้มดโรฑีไปด้วยอย่างที่ทำคราวนี้ แขนย่อมต้องล้าเป็นธรรมดา เป็นสาเหตุให้ซุ่มซ่าม ทำข้าวของตกหล่น เที่ยวไม่สนุกเท่าที่ควร ทริปหน้าว่าจะลองกลับไปใช้ Leica M ตัวน้อยตามเดิม พกใส่กระเป๋าทะเลหรือหย่อนลงไปในกระเป๋ากางเกงได้เลย เก็บมือไว้อุ้มลูกและเก็บแรงไว้สนุกกับเธอดีกว่า

1.26.2009

ยี่สิบหกมกราคม

วันเกิดปีนี้ของผมก็เหมือนวันทั่วไป อยู่บ้านกับดโรฑีทั้งวัน เพื่อนผู้แสนดีโทรทางไกลมาอวยพรจากเวียนนาก็ไม่ได้รับเพราะปิดโทรศัพท์ไว้ตั้งแต่ตอนที่ดโรฑีเข้าโรงพยาบาลแล้ว คุณเพื่อนเลยบ่นต่อว่ามาเป็น email แทน


พอตอนค่ำ แป้งรีบกลับมาจากทำงานแล้วออกอุบายให้ผมออกไปห้างกับเธอ อ้างว่าเขาได้ออกมาซื้อของเมื่อตอนพักเที่ยงแล้วฝากคนขายไว้ ต้องกลับไปรับ เอาเถอะครับยอมก็ยอม ก็รู้อยู่แล้วว่าจะหาเรื่องพาผมออกไปเลือกของขวัญวันเกิดในตอนเย็นวันเกิด หลายท่านคงสงสัยว่า เอ ของขวัญนี่ปกติเขาจะต้องเลือกไว้ก่อนจะถึงวันเกิดไม่ใช่หรือ ครับ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น สาเหตุเป็นเพราะมัวแต่เลี้ยงลูกกันอยู่ จะไปไหนก็ไปด้วยกันหมดทั้งสามคน พอวันทำงานแป้งเขาก็มัวแต่ทำงาน ไม่มีเวลาว่างให้ปลีกตัวไปหาของขวัญมาเซอไพร้ซ์


ปีนี้แป้งเขาอยากให้ iPhone 3G ผม เพราะเห็นว่า PDA อันที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมันห้าปีแล้วและไม่ได้เป็นโทรศัพท์ด้วย พอดีบริษัทเครือข่ายมือถือบริษัทหนึ่งเพิ่งประกาศเปิดตัว iPhone อย่างเป็นทางการในประเทศไทย มีการโฆษณาประโคมข่าวกันยกใหญ่ ขนาดคนที่ไม่สนใจเทคโนโลยีอย่างแป้งก็ยังพลอยเห็นดีเห็นงามไปด้วย คิดว่าดนพเองก็น่าจะมีใช้สักเครื่อง แต่พอดีด้วยความที่แป้งไม่รู้เรื่องอุปกรณ์ไฮเทค เธอเลยไม่กล้าไปซื้อคนเดียว กลัวซื้อผิด เลยต้องพาผมออกไปซื้อด้วย


ยังดีอีกอย่างที่เราไม่ได้ตรงไปที่ร้าน Apple ทันที แต่ไปแวะเลือกซื้อของขวัญให้เพื่อนร่วมงานของแป้งก่อน เขาเลือกของอยู่นานมาก ปล่อยให้ผมกับดโรฑ๊ไปนั่งเล่นเปียโนอยู่ที่แผนกเครื่องไฟฟ้าอยู่เกือบสองชั่วโมง มานึกๆ ดูก็น่าน้อยใจ ตั้งใจจะออกมานอกบ้านเพื่อให้เป็นกิจกรรมครอบครัวในวันเกิดผม แต่กลับไปเดินเลือกของขวัญให้คนที่ทำงานจนห้างปิด พอเห็นว่าห้างจะปิดก็รีบร้อนจะไปซื้อเจ้า iPhone ที่ว่าให้ได้ ผมก็เลยสารภาพไปว่าที่จริงแล้วไม่ได้อยากได้เลย PDA เครื่องเก่ารุ่น Palm T3 ที่ใช้มาห้าปีแล้วก็ยังใช้ได้อยู่ หากเครื่องนั้นมีปัญหา เครื่องก่อนหน้านั้น Palm IIIx ที่ตอนนี้อายุ 10 กว่าปีแล้วก็ยังใช้ได้ดีอยู่เช่นเดียวกัน และทั้งสองเครื่องต่างก็มีจุดเด่นที่เหนือกว่าเจ้า iPhone อยู่อย่างหรือสองอย่าง โดยเฉพาะเจ้า T3 นั้นไม่ได้น้อยหน้า iPhone แต่ประการใดเลย แม้จะแก่กว่า iPhone ตั้งห้าปี


ที่ผมชอบที่สุดคงเป็นระบบป้อนข้อมูลด้วยลายมือ คือใช้ปากกาเขียนเป็นตัวหนังสือลงไปบนหน้าจอแล้วเครื่องจะแปลงเป็นตัวพิมพ์ให้เอง สะดวกและเร็วกว่าการจิ้มแท่นพิมพ์จำลองบนหน้าจอมาก นอกจากนี้ผมยังมีโปรแกรมเสริมทุกชนิดประดามีที่เสาะหามาสะสมไว้ตลอดระยะเวลาสิบปี มีโปรแกรมสำหรับอำนวบความสะดวกให้กับทั้งงานประจำและงานอดิเรกทุกชนิดที่ผมทำ ตั้งแต่โปรแกรมคิดเลขฐาน 16 โปรแกรมแผนที่ดวงดาว โปรแกรมแปลงหน่วยต่างๆ ในงานภาพยนตร์ นอกจากนี้ผมยังมี Code Warrior และ GNU Compiler สำหรับสร้างโปรแกรมให้เครื่อง PDA ทั้งสองได้ด้วยตัวเองอีก หากจะเปลี่ยนมาใช้เจ้า iPhone ก็คงต้องเริ่มสะสมโปรแกรมพวกนี้ใหม่ หรือไม่ก็ต้องเขียนขึ้นเองเพื่อแทนตัวที่ยังไม่มีคนผลิต ยุ่งยากครับ


ส่วนในแง่โทรศัพท์มือถือ วันๆ ก็ไม่มีใครโทรหาผมอยู่แล้ว มีแต่โทรศัพท์มือถือราคาถูกเครื่องที่ใช้อยู่ก็พอถมเถ จะมี 3G ไปทำไม และนับประสาอะไรกับ iPhone

ข้าวของเครื่องใช้อะไรที่ผมเลือก ผมจะเลือกที่ความทนทานกับความถนัดมือ ผมไม่ได้ชอบของใหม่ๆ หรือเห่ออะไรตามอย่างคนอื่นเขา iPhone 3G ดีจริง น่าใช้จริง แต่มันจะไม่อำนวยประโยชน์อะไรให้ชีวิตผมเลย ผมอาจจะคิดนิดนึงถ้ามันมี Flash Player ติดมาด้วย เพราะจะได้เอาไว้เปิด Flash animation ที่ดโรฑีชอบให้เธอดู แต่มันก็เปิดไม่ได้ถ้าไม่มีโปรแกรมเสริม ก็เป็นอันว่าจบกัน เก็บเงินไว้ซื้อผ้าอ้อมลูกดีกว่า

ดโรฑีก็เริ่มๆ จะง่วง ผมก็เลยชวนแป้งกลับบ้าน แป้งเลยงัดของขวัญวันเกิดอีกชิ้นที่แอบเตรียมไว้ให้ออกมา (หรือจะเป็นของที่เขาตั้งใจจะให้เพื่อนที่ทำงานก็ไม่ทราบ) เป็นหมอนหนุนใบใหม่ นุ่ม โปร่ง สบาย น่ารักจริงๆ เมียเราอุตส่าห์เตรียมของดีๆ ไว้ให้ ตั้งแต่อยู่กันมาจนป่านนี้คงไม่เคยสังเกตเลยสินะ ว่าผมนอนไม่หนุนหมอน ขอบคุณมากจ้ะ แค่ได้รู้ว่าเธออยากจะให้ของขวัญผมก็รู้สึกดีมากแล้ว ไม่ต้องไปหามาให้ก็ได้


ของขวัญที่ถูกใจที่สุดในปีนี้ก็เลยซ้ำกับที่ได้ปีที่แล้ว คือเด็กผู้หญิงตัวน้อยที่กำลังหลับอยู่ข้างๆ ผมตอนนี้นั่นเอง

1.22.2009

ผู้ป่วยน้อย ผู้ป่วยมาก

เมื่อก่อนจะถึงวันเกิดดโรฑีมีอาการไข้และท้องเสีย ไม่ยอมทานอาหารอย่างอื่นเลยนอกจากนมแม่ ทั้งแป้งและผมต้องนั่งเฝ้าใข้เธออยู่ทั้งคืน แป้งคอยให้นม ส่วนผมคอยเช็ดตัวเพื่อช่วยลดไข้ คุณหมอประจำตัวบอกว่าเธอได้รับเชื้อ Salmonella ซึ่งพบได้ในอาหารประเภทเนื้อที่ปรุงไม่สุกดี และในน้ำดื่มที่ไม่สะอาด ในตอนนั้นเราไม่รู้จะโทษอะไร เพราะทั้งผม แป้งและดโรฑีต่างก็กำลังตื่นเต้นกับการทดลองอาหารใหม่ๆ ดโรฑีเพิ่งเริ่มจะทานอาหารผู้ใหญ่ได้และเธอก็กำลังเห่อทานของแปลกๆ ส่วนเราผู้เป็นพ่อแม่เห็นลูกทานร่วมโต๊ะกับเราได้ก็ดีใจเห่อป้อนลูกไปซะทุกอย่าง คงไม่อาจทราบได้ว่าจานไหนหรืออะไรที่ป้อนเธอไปคือสาเหตุที่แท้จริง ที่แย่คือตอนนั้นเธอไม่ยอมทานยา ทำให้ต้องพาไปฉีดยาที่โรงพยาบาลทุกวัน คล้ายๆ กับตัวผมเองตอนที่เป็นต่อมลูกหมากอักเสบ พอฉีดยาครบอาการก็กลับเป็นปกติ ร่าเริงสุดขีดเหมือนเดิม


มาเมื่ออาทิตย์ก่อนดโรฑีตื่นมาขอทานนมรอบตีห้าตามปกติของเธอ ผมเป็นคนไปอุ้มออกมาจากเตียงเธอก็ร่าเริงดี อุณหภูมิร่างกายก็ปกติ ผิวเธอออกจะเย็นซะด้วยซ้ำ พอทานนมเสร็จเธอก็กลิ้งลงไปนอนเล่นของเล่นของเธอเหมือนเคย ผมกับแป้งก็กำลังจะถือโอกาสหลับต่อสักนิดก็ได้ยินเธอทำเสียงแปลกๆ ปรากฎว่าดโรฑีตัวน้อยมีอาการชัก ผมอุ้มขึ้นมาพบว่าตัวร้อนมาก จึงเอาผ้าชุบน้ำมาประคบศีรษะเธอไว้แล้วรีบพาขับรถไปโรงพยาบาล ห้องฉุกเฉินเช็ดตัว ให้ออกซีเจนและยาลดไข้ เธอก็ลุกขึ้นมานั่งร้องต่อว่าคุณหมอคุณพยาบาลเหมือนปกติ แต่ไข้ก็ยังสูงอยู่ โรงพยาบาลให้นอนพักเพื่อสังเกตอาการ 24 ชั่วโมง


ว่าแล้วจึงพาดโรฑีขึ้นมาให้น้ำเกลือที่ห้องของเธอซึ่งก็อยู่ชั้นล่างจากห้องที่ผมพักเมื่อคราวแรกที่เข้าโรงพยาบาล มี HDTV กับคอมพิวเตอร์ให้ใช้เหมือนกัน ดโรฑีเลยได้นอนดู flash animation ที่เธอชอบ แก้เบื่อไปได้มาก


ดโรฑีร้องไห้ไม่ชอบทานยา และรำคาญที่มือข้างซ้ายถูกพันเฝือกอ่อนไว้เพื่อติดสายให้น้ำเกลือทำให้ดูดนิ้วโป้งข้างซ้ายสุดรักของเธอไม่ได้ ทำให้นอนไม่หลับ แต่อย่างอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสถานที่ พี่ๆ พยาบาล หรือแม้แต่อาการไข้ของเธอเอง ไม่ได้ทำให้เธอหงุดหงิดเลย ยิ่งเริ่มคุ้น ยิ่งเริ่มออกลาย หัวเราะเล่นสนุกสนาน พอช่วงไหนไข้ลด ก็จะขอออกไปเดินหรือนั่งรถเข็นสำรวจนอกห้อง จะไปไหนก็ต้องพาเครื่องเดินน้ำเกลือไปด้วย เสาของเครื่องเดินน้ำเกลือต้นแรกที่ได้มาล้อฝืดมาก เข็นไม่ค่อยไป สักพักพยาบาลเขาเปลี่ยนอันใหม่ให้ คราวนี้เข็นคล่อง ดโรฑีจึงเข็นเสาน้ำเกลือไปรอบๆ ด้วยตัวเองในขณะที่เดิน


พอตอนค่ำๆ ไข้จะเริ่มขึ้น และจะขึ้นสูงมากเวลาดึก ต้องให้ยาลดไข้ ซึ่งเธอจะไม่ชอบเลย ร้องไห้งอแงตลอด ยังดีที่พอพี่พยาบาลออกไปพ้นประตูห้อง เธอก็จะกลับมาเป็นดโรฑีผู้กล้าหาญเหมือนเดิม ส่งเสียงตะโกนด่าทอไล่หลังพยาบาลไป แต่จากนั้นก็ยิ้มๆ แล้วก็มานอนซมซบผมอยู่ รอให้ร้องเพลงกล่อมหรือเปิด website ที่เป็น Flash animation ที่เธอชอบให้ดู หรือไม่ก็ขอดูดนมแป้งจนหลับไป ผมกับแป้งเลยสลับกันขึ้นมานอนบนเตียงคนไข้กับเธอ คอยเช็ดตัวให้และระวังไใ่ให้สายน้ำเกลือพันกันเวลาที่เธอนอนดิ้น

พอเช้าขึ้นเธอก็จะตื่นขึ้นมาร่าเริงเหมือนเดิม ทักทายตุ๊กตาหมีเพื่อนรักของเธอก่อน ออกเดินสำรวจไปทั่ว พอเจอพยาบาลคนไหนที่เคยป้อนยาให้เธอ เธอก็จะตะโกนด่า และเอามือข้างที่ยังว่าอยู่ชี้เขาด้วย เหมือนไม่ได้ป่วย แต่พอค่ำๆ ก็ไข้ขึ้นอีก เป็นอย่างนี้อยู่สองวัน พอวันที่สามเริ่มจะดีขึ้น คุณหมอให้ปลดสายน้ำเกลือได้ พอแกะเฝือกอ่อนออกปรากฎว่ามือข้างซ้ายเหม็นมาก ไม่ใช่กลิ่นมือเธออย่างเดียว แต่เป็นกลิ่นของแผ่นโฟมที่เขาใช้เป็นแกนดามเฝือกอ่อนเอาไว้ ไม่แน่ใจว่าเป็นกลิ่นสะสมมาจากคนไข้คนก่อนๆ หรือเป็นกลิ่นของวัสดุที่ใช้ โฟมบางชนิดจะส่งกล่ินประหลาดๆ เวลาที่ทำปฎิกริยากับแอลกอฮอ ตอนแรกดโรฑีเห็นนิ้วโป้งซ้ายสุดรักของเธอเป็นอิสระ ก็รีบชูขึ้นพิจารณา แล้วรีบเอาเข้าปาก พอเข้าใกล้ปากก็ได้กลิ่นเหม็นสาบเฝือกเธอก็ทำหน้าแหยะๆ แล้วก็ตัดสินใจว่าไม่ดูดดีกว่า

เย็นวันที่สี่คุณหมอเลยยอมให้กลับบ้านได้


เป็น weekend ที่ผมมีนัดถ่ายภาพให้ลูกค้าติดๆ กันทั้งวันเสาร์และวันอาทิตย์ วันละสองรายด้วย ก็คิดๆ ว่าจะยกเลิกลูกค้า แต่แป้งเขาขอไว้ว่าลูกค้ารอถ่ายกับผมมานานและอยากให้เป็นกิจกรรมวันเด็กสำหรับลูกๆ ผมก็เลยยอมคิดว่าถ่ายวันเสาร์แล้วยกเลิกวันอาทิตย์ก็ยังดี จะได้มาอยู่กับดโรฑี แต่แล้วก็กลายเป็นได้ถ่ายทั้งวันทั้งสองวันเลย เหนื่อยมากครับ กลัวตัวเองจะป่วยไปด้วยแล้วจะไม่มีใครดูแลดโรฑี


พอกลับมาจากถ่ายภาพเห็นดโรฑียืนเกาะมือคุณย่าข้างหนึ่งอีกข้างเกาะเสาน้ำเกลือรออยู่หน้าแผนกเด็ก ตรงที่เราบ๋ายบายเขาเมื่อเช้า คุณย่าบอกว่าเขาเดินออกมามองหาผมกับแป้งตรงนั้นหลายครั้งแล้ว พอเธอเห็นเราก็ดีใจยิ้มร่า ตะโกนและโบกมือเรียก เห็นอย่างนั้นก็หายเหนื่อยครับ

1.15.2009

สุขสันต์วันดโรฑี


ดโรฑีขวบนึงแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่าในช่วงนี้ของปีก่อนผมกำลังอุ้มมนุษย์ตัวจิ๋วที่ทำอะไรเองไม่ได้แม้แต่ชันคอหรือพลิกตัวในเวลานอน มนุษย์จิ๋วคนนั้นไม่ค่อยมีผม แขนขาก็ผอมๆ เล็กๆ หน้าตาก็ประหลาด ชอบลืมตาขึ้นมามองเวลาที่มีแสงผ่านหน้า เวลาสบายตัวก็ยิ้ม เวลาหิวก็ร้องเสียงแกรก เวลาผ้าอ้อมเปียกแม้แต่นิดหนึ่งก็ร้องหย่อยๆ เวลาตื่นนอนก็จะชูกำปั้นขึ้นมาข้างนึงส่วนอีกข้างเอาซุกไว้กับอก ทำท่าเหมือนพวกยอดมนุษย์เวลาเหาะ ตื่นนอนมาทานนมทุกสามชั่วโมง ทานแล้วก็อึ อึแล้วก็ร้องหย่อยๆ อีก เวลาจะพาอุ้มเดินให้หลับผมก็ต้องเอามือนึงประคองหลังและท้ายทอยไว้ ส่วนอีกมือก็ช้อนก้น เพราะมนุษย์จิ๋วตัวเล็กมาก ขนาดใหญ่กว่าขวดน้ำดื่มขวดเล็กหน่อยนึง จะว่าไปแล้วก็คือตัวเขาขนาดเท่าฝ่ามือของผมพอดี ส่วนมากผมจะเป็นคนอุ้มกล่อมเพราะแป้งเขายังเหนื่อยจากการคลอด

ก่อนที่จะได้เห็นหน้ากันในห้องคลอดผมก็เคยจินตนาการไว้ต่างๆ ว่าชีวิตของผมจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ตั้งแต่ตอนที่แป้งท้องต้องประคบประหงมกันมา จะไปเที่ยวทะเลเที่ยวเกาะอย่างที่เคยชอบกันสองคนก็ไปได้ไม่สนิทใจ ถ้าเธอไม่ดิ้นตามเวลาประจำของเธอก็จะเป็นกังวล ผมก็รู้อยู่แล้วว่าเมื่อไรที่เธอออกมาผมคงไม่ได้พักผ่อนอีกต่อไป และในช่วงแรกๆ ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ตั้งแต่คืนที่พาแป้งเข้าไปรอคลอดที่โรงพยาบาล จนหลังคลอดที่คุณพยาบาลเขาคอยผลัดกันมาสอนวิธีดูแลเด็กอ่อนต่างๆ จนกระทั่งกลับมาบ้านและอีกราวๆ สองอาทิคย์หลังจากนั้น ผมไม่ได้นอนเลย จะหลับก็เป็นห่วง พอกำลังเคลิ้มๆ จะงีบหน่อยเขาก็ตื่นพอดี ผมเหนื่อยมาก แต่ก็ทำใจไว้แล้วว่าจะเหนื่อย คิดไว้ว่า ชีวิตเราต่อจากนี้คงจะเป็นอย่างนี้ตลอด มีแต่ความห่วงกังวลกับความเหนื่อย

พอสักเดือนนึงผ่านไป พอผมอุ้มเธอขึ้นมาแล้วเธอมองเห็นผม หรือจะเป็นได้กลิ่นหรือได้ยินเสียงก็ไม่อาจทราบได้ แล้วเธอยิ้มปากกว้างให้ผม ผมหายเหนื่อยทันที ผมรู้สึกว่าทั้งหมดที่เหนื่อย ทั้งหมดที่กังวล ทุกสิ่งที่ทำเพิ่มขึ้นมาโดยไม่เคย compromise อะไรเลยนั้น มัน pays off ความสุขของดโรฑีตัวน้อย รอยยิ้มของเธอคือช่วงเวลาพักผ่อนของผม

ในวันนี้ดโรฑีจูงผมเดินไปทั่วทั้งในบ้านและในสวน จะไปไหนเราก็ไปด้วยกัน ถึงเธอจะยังพูดภาษาจริงๆ ได้ไม่กี่คำ แต่เธอก็มีภาษาของเธอเองที่สื่อให้ผมเข้าใจได้ ผมจะทำอะไรก็มีเธอตัวน้อยๆ นั่งหรือยืนดูอยู่ข้างๆ พอเธอเบื่อสิ่งที่ผมทำ เราก็จะผลัดไปทำอะไรที่เธออยากทำบ้าง เช่นเดินเล่น หรือขึ้นไปเล่นของเล่นหรืออ่านหนังสือบนเตียงด้วยกัน ทุกครั้งที่เธอค้นพบอะไรใหม่ๆ หรือสงสัยอะไร เธอก็จะแสดงให้ผมดู ถ้าเป็นสิ่งของก็จะหยิบมายื่นให้ผมสาธิตให้ดู เวลาอยากเล่นอะไรก็จะหันมามองและยิ้มเป็นเลศนัย

เธอเริงร่าอยู่ตลอดเวลาที่อยู่กับผม เมื่อเปิดหรือร้องเพลงที่ชอบให้ฟังเธอก็จะทำเสียงคลอตาม เวลาตื่นก็จะปลุกผมขึ้นมาเล่นด้วย เวลาจะนอนก็จะเรียกให้ผมไปจัดที่นอนให้และให้ร้องเพลงกล่อม ผมมีความสุขมาก ผมไม่เคยรู้สึกว่าผมเป็นที่ต้องการหรือมีความสำคัญกับใครขนาดนี้มาก่อน เธอคงเป็นคนๆ เดียวในโลกที่รักและยอมรับผมในทุกสิ่งที่ผมให้และในสิ่งที่ผมเป็น ยิ่งผมรักเธอมากผมก็เห็นความรักและความทุ่มเทของผมกลับคืนมาในสายตาและในรอยยิ้มของเธอ ในมือน้อยๆ ที่กำนิ้วมือผมไว้มั่น ในไออุ่นของแก้มน้อยๆ ที่แนบกับหน้าผม ในผมนุ่มๆ ของเธอที่มาซุกอยู่ที่คอผมเวลาที่เธอหลับอยู่ข้างๆ

ธอเป็นทั้งเพื่อนและทั้งนักเรียนที่น่ารักของผม และในขณะเดียวกันเธอก็ยังเป็นครูของผม เธอสอนให้ผมรักและเข้าใจและยอมรับความเป็นมนุษย์ทั้งในส่วนดีและข้อด้อยของมันของตัวผมเองและคนรอบข้างมากขึ้น เธอใสและเรียนรู้ทุกสิ่งรอบตัวโดยการทดลองด้วยสัญชาติญาณพื้นฐานที่ธรรมชาติให้เธอมา จากมนุษย์น้อยๆ ที่เรียบง่าย กลายเป็นเก่งขึ้น กล้าขึ้น ซับซ้อนขึ้นทุกขณะ

เธอเป็นชีวิตและเป็นผลงานชิ้นเอกของผมณวันนี้และตลอดไป I love you, Daddy's Little Bunny Girl!

สวัสดีปีใหม่ 2552



สวัสดีปีใหม่ครับ

ผมหายหน้าไปนานหลายเดือนไม่ได้เข้ามาเขียน ที่จริงแล้วก็มีร่างๆ ไว้ใน textedit อย่างสม่ำเสมอทุกๆ เดือน แต่ก็ไม่มีเวลาจะมาเขียนต่อให้เสร็จก็เลยรอไว้ ยกยอดเรื่องที่เขียนมารวมกับของเดือนต่อไป แต่แล้วก็เขียนไม่เสร็จอยู่นั่นเอง ก็ยกยอดต่อมาเรื่อยๆ จนข้ามปีก็ยังไม่มีใครได้อ่านเรื่องที่ผมอยากจะเล่าเมื่อสามเดือนก่อน


พอกันทีครับ ไม่ทำอย่างนั้นแล้ว ผมคงต้องยอมรับว่าการเป็นพ่อนั้นเป็นงาน full-time จริงๆ ส่วนเวลาที่เหลือของผมก็หมดไปกับการปรับสีรูปของลูกค้าที่ถ่ายมาในแต่ละอาทิตย์ หากจะมาคาดหวังว่าจะเหลือเวลาไว้เขียน blog เล่าเรื่องยาวเป็นหน้าๆ ได้ทุกคราวไปคงเป็นไปได้ยาก นี่ยังไม่นับหน้าที่การเป็นสามีผู้น่ารักของแป้ง หรือการเป็นลูกชายโง่ๆ ของคุณแม่ ซึ่งทุกหน้าที่นั้นก็ล้วนแต่ต้องการเวลาและการเอาใจใส่ไม่แพ้กัน


ในปีใหม่นี้ผมตั้งใจว่าจะเขียนให้สั้นลง แต่เขียนให้บ่อยขึ้น ที่จริงแล้ว blog ของช่างภาพท่านอื่นๆ บน web ไม่ว่าจะเป็นคุณ Joe McNally หรือคุณ その江 ต่างก็ใช้รูปแบบนี้ทั้งสิ้น ข้อดีก็คือ ได้เนื้อหาที่สดใหม่ทันเหตุการณ์กว่า และยังสามารถเก็บอารมณ์ความรู้สึกที่มีในขณะนั้นไว้ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่มสาระและอรรถรสในการอ่านได้อีกด้วย จะว่าไปแล้วทั้งสองท่านที่กล่าวมานั้นงานยุ่งกว่าผมมากชนิดเทียบกันไม่ได้ แต่หากทั้งสองท่านยังมีเวลามาเขียน blog สนุกๆ ให้พวกเราอ่านได้ ผมเองก็น่าจะทำได้เช่นเดียวกัน


ขอเริ่มโดยการประมวลเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่ยังไม่ได้เล่าให้ทุกท่านฟังตั้งแต่ฉบับหน้าเป็นต้นไปครับ

10.11.2008

เปลือยชีวิตคุณพ่อ

เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลได้เดี๋ยวเดียวก็ได้กลับเข้าไปอุดหนุนอีกแล้ว สาเหตุเนื่องมาจากยาที่คุณหมอจัดมาให้หมดไปได้สักอาทิตย์หนึ่ง พอดีม้วแต่ไปเที่ยวหัวหินเลยโดดนัดคุณหมอไม่ได้เข้าไปรับยาใหม่ ปรากฎว่าอาการอักเสบก็กลับมาอีก มีไข้สูงและเบาเป็นเลือด อาการดูถ้าจะแย่กว่าคราวก่อน แถมยังทรุดเร็วอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว ประมาณว่าอุ้มดโรฑีอยู่ดีๆ ก็หมดแรงหน้ามืด ไข้ขึ้น หนาวสั่น เจ็บในท่อปัสสาวะขึ้นมาแบบชนิดที่ว่า ต้องยอมพาดโรฑีไปฝากคุณย่าอุ้มเดี๋ยวนั้นเลยแล้วโทรไปตามให้แป้งกลับบ้าน คืนนั้นไปโรงพยาบาลแต่คุณหมอเจ้าของไข้ไม่เข้า คุณหมออีกท่านเลยจ่ายยาเดิมเพิ่มให้แต่ลดขนาดลงครึ่งหนึ่ง


วันต่อมาอาการไข้ก็ยังไม่ดีขึ้น เลยรีบกลับไปพบคุณหมอประจำตัว คุณหมอเลยไม่่ให้กลับบ้าน สบายไป ผลเลือดแสดงให้เห็นว่าอาการติดเชื้อคราวนี้รุนแรงกว่าคราวก่อนเสียอีก คุณหมอสงสัยว่าเชื้อโรคอาจดื้อยาเลยสั่งให้นอนหยอดยาปฎิชีวนะและสังเกตอาการ

ผลคือต้องยกเลิก presentation ที่จะต้องไปพูดที่ห้าง Siam Paragon วันรุ่งขึ้น เสียดายสไลด์ Keynote อันงดงานที่นั่งอดหลับอดนอนทำไว้จริงๆ


พอนอนไปได้วันนึง ได้ยาปฏิชีวนะทางสายน้ำเกลือไปสองถุง ก็รู้สึกดีขึ้น จึงอาจหาญไปขออนุญาตคุณหมอกลับบ้าน เพราะวันต่อมามีนัดถ่าย location ที่ต่างจังหวัด ทั้งอยากไปและไม่อยากให้ลูกค้าผิดหวัง พออธิบายให้คุณหมอฟังคุณหมอตอบว่าอย่างนั้นยิ่งให้ออกไม่ได้ใหญ่ คุณหมอว่าไข้อาจกลับมาอีกและอาจขึ้นสูงจนช๊อกได้ในสองชั่วโมง ตอนที่ได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกเซ็งๆ แต่ที่ยอมอยู่ต่อก็เพราะกลัวว่าเกิดไปช๊อคหมดสติเข้าจริงๆ ในขณะที่ขับรถอยู่คงไม่ดีกับแป้งและดโรฑีแน่ๆ

พอวันต่อมา ตอนตื่นมาก็ไม่ได้ร้สึกผิดปกติอะไร ยังนึกๆ อยู่ว่ารู้อย่างนี้น่าจะแอบย่องออกไปซะตั้งแต่เมื่อวานเย็นจะได้ไม่ต้องผิดนัดลูกค้า ปรากฏว่าพอใกล้จะถึงเวลาให้ยา ไข้ก็กลับมาอีก จริงอยู่ว่ามันไม่ได้มากขนาดหมดสติ แต่ก็หนักหนาเอาการอยู่ หากเป็นแบบนี้ตอนที่กำลังขับรถอยู่หรือถ่ายงานอยู่คงจะแย่แน่ เรานี่มันไม่เจียมตัวเลยจริงๆ

แต่นั่นแหละครับ ที่สุดแล้วก็ได้กลับมานั่งเขียน blog ให้ทุกท่านอ่านต่อไป ยังดีที่ผลตอบสนองต่อยาทางสายน้ำเกลือค่อนข้างดี เลยกลับบ้านมาทานยาต่อได้ ไม่ต้องกลับไปหยอดยาที่โรงพยาบาลทุกวันให้คุณหมอเยาะเย้ยเอา


setup คราวนี้ต่างไปจากเดิม สาเหตุหลักเป็นเพราะพี่ชายของคุณลูกค้าเขาอยากดูโทรทัศน์ หากวางฉากหลังและไฟตามแบบเดิมก็จะบังโทรทัศน์หมด ผมเลยลองสลับมาจัดตามแนวขวางแทน ยิ่งอาจจะทำให้รู้สึกว่าสตูดิโอน้อยๆ ของเรายิ่งแคบลงไปอีก แต่อย่างน้อยคุณพี่ชายก็มีอะไรไว้ดูแก้เบื่อ การย้าย setup คราวนี้ทำให้ต้องวัดระยะ strobe ใหม่ทั้งหมด แต่ผลที่ได้เป็นที่น่าพอใจ คือสามารถวางตำแหน่ง hi-lite ในตาของนางแบบได้ดีกว่าเดิมโดยไม่มี hi-lite อื่นๆ ที่เกิดจากแสงจากนอกหน้าต่างมารบกวน และด้วยว่า setup นี้หันหลังให้หน้าต่าง แสง ambient จึงค่อนข้างมืดทำให้ม่านตาของนางแบบขยายออกกว้างกว่าเวลาที่ถ่ายใน setup เดิม  hi-lite ที่ใหญ่ขึ้นของ setup ใหม่ บวกกับรูม่านตาที่ขยายใหญ่เพราะไม่ถูกแสงรบกวนจากหน้าต่าง ทำให้ดวงตาของนางแบบน้อยของผมดูใหญ่และเป็นประกาย แผ่นสะท้อนแสงที่เอาไว้ใช้สะท้อนแสงจากหน้าต่างมาเป็น backlight ในคราวนี้เปลี่ยนมาใช้ให้ fill ด้านข้างแทน ทำให้มิติของภาพต่างไปจากเดิม


setup อาทิตย์ต่อมายิ่งแปลกเข้าไปใหญ่เพราะคุณพ่อของนางแบบเขายุขึ้น แค่คุณภรรยายุให้ถอดเสื้อผ้าไปถ่ายนู๊ดคู่กับลูก พอผมหันมาอีกทีเห็นคุณพ่อเขาผลัดจากเสื้อมาเป็นห่มผ้าเช็ดตัวยืนรออยู่เรียบร้อย เขาว่าอยากได้ภาพนู๊ดคู่กับลูกมานานแล้ว ช่วงที่เริ่มถ่ายนางแบบของเรากำลังงอแง จะอยู่แต่ในห้องนอน ไม่ยอมออกมาในบริเวณ setup เลยต้องเปลี่ยนมาใช้ strobe เล็กและใช้แป้งเป็นขาตั้งไฟแบบสั่งการด้วยเสียง แค่บอกว่าให้เล็ง strobe ไปตรงไหนหรือให้ย้ายไปอยู่ตำแหน่งไหนในห้อง ขาไฟรุ่นพิเศษนี้จะรีบจัดให้ทันที แสนรู้จริงๆ ถ่ายด้วย strobe เล็กไปได้พักหนึ่งก็รู้สึกไม่ค่อยถูกใจ แสงแดดจากนอกหน้าต่างไม่เป็นใจ มืดและอมน้ำเงินเขียว ไม่สามารถใช้เสริมมิติของภาพได้เลย ถ้าจะใช้จริงๆ ก็คงต้องปรับความเร็วชัตเตอร์ให้ต่ำมากๆ ซึ่งถึงจะให้บรรยากาศในภาพอย่างที่ต้องการ ก็จะไม่เร็วพอที่จะสามารถหยุดการเคลื่อนไหวของนากแบบตัวน้อยในอ้อมแขนคุณพ่อได้ จึงต้องยอมอย่างนั้นไปก่อน


แสงและเงาเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับภาพถ่ายนู๊ด นู๊ดนั้นไม่ได้หมายถึงว่าแก้ผ้าถ่ายอย่างเดียว หัวใจของงานนู๊ดนั้นอยู่ที่รูปทรง โครงร่าง และพื้นผิวของร่างกายมนุษย์ สิ่งที่ผมอยากได้ในตอนนั้นคือภาพที่เก็บความผูกพัน ความคุ้นเคย ความเข้าใจกัน ระหว่างพ่อกับลูกสาวตัวน้อย โดยที่เน้นโครงร่างที่เปล่าเปลือยของนางแบบและคุณพ่อไว้ด้วย ผมยังนึกอยู่ว่าเสียดายจริงๆ น่าจะบอกกันก่อนว่าอยากถ่ายแบบนี้จะได้จัดไฟรอไว้ให้ ใช้ strobe เล็กดวงเดียวในห้องนอนคงจะไม่ค่อยงามเท่าไร พอถึงช่วงพัก พอดีเป็นการพักทานนมเลยนานหน่อย ผมเลยถือโอกาสออกไปจัดไฟให้ใหม่ที่ setup เดิมที่อยู่ในห้องรับแขก มีเวลาทดสอบไม่มากนัก ต้องรีบให้ทันกับนางแบบน้อย และขณะเดียวกันก็ต้องจัดในแบบที่สามารถเปลี่ยนกลับมาถ่ายภาพเดี่ยวนางแบบน้อยแบบเดิมได้โดยไม่ต้องย้ายไฟกันใหม่ทั้งหมด

ผมเลยจัดไฟไว้สองชุดโดยที่จริงใช้ไฟชุด

เดียวกันเลือกสลับใช้โดยการเปลี่ยนความถี่ของสัญญาน remote  โดยใน setup นู๊ดควบคุม rimlight ด้วย remote แล้ว set ตัว fill ของ setup ภาพเดี่ยวมาเป็น key แทนโดยให้เป็น optical slave ของ rimlight ส่วนไฟ key ของ setup แรกก็ปล่อยไว้อย่างนั้นเพราะมันจะไม่ยิงอยู่แล้วเพราะ remote ของมันตั้งไว้คนละความถี่กับ remote ของตัว rimlight

เวลาที่ถ่ายนู๊ด เฉพาะ rimlight กับ key2 (fill ของ setup แรก) จะยิง

และเมื่ออยากจะเปลี่ยนกลับมาถ่ายภาพเดี่ยวนางแบบตามเดิม ก็แค่เปลี่ยนมาใช้ความถี่ remote ของ key1 เท่านั้น key2 มันก็จะลดตำแหน่งกลายเป็น fill ไปตามเดิม ส่วน rimlight สำหรับนู๊ดก็จะไม่ยิงไปโดยอัตโนมัติ เจ้า setup 2-in-1 ของผมคราวนี้อาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบไปทั้งหมด แต่ก็แอบยิ้มอยู่ในใจว่าเป็นวิธีที่แยบยลมาก เริ่มจะสงสัยนิดๆ ว่าคุณหมอที่โรงพยาบาลแอบใส่อะไรลงไปในสายน้ำเกลือหรือเปล่า ดูเหมือนนายดนพจะฉลาดขึ้นกว่าตอนก่อนเข้ารักษา หรือจะเป็นอาการของคนทีป่วยมากๆ แล้วเพิ่งหายป่วย จะรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ หรือจะเป็นเหตุผลง่ายๆ แค่ว่าแต่เดิมก่อนป่วยเราไม่ได้พักผ่อนจนสมองล้าจนชิน จนคิดไปว่าตัวเราโง่ แต่พอป่วยแล้วได้ไปนอนพักอยู่เฉยๆ อาทิตย์หนึ่ง สมองเลยกลับมาแช่มชื่นตามเดิม แต่ด้วยว่าเคยชินกับสมองเบลอๆ เลยรู้สึกเหมือนว่าตัวเองฉลาดขึ้น แต่ที่แน่ๆ คืนนี้คงเริ่มเบลอๆ แล้วชักจะเขียนไม่รู้เรื่อง ดโรฑีทานนมเสร็จแล้ว ผมขอตัวไปนอนก่อนแล้วกันครับ


 

9.09.2008

ภูเก็ต, บิน, ตังค์?


การได้ทำงานที่เรารักเป็นความสุขอย่างหนึ่ง บางครั้งการทำงานก็ทำให้เราลืมความเจ็บป่วยหรือปัญหาต่างๆ ที่เราเผชิญอยู่ไปได้ หลายๆ ครั้งที่ผมป่วย ผมมักเลือกที่จะออกไปทำงานแทนที่จะนอนพักอย่างที่คนส่วนมากเขาทำกันก็ด้วยเหตุผลนี้ โดยส่วนใหญ่ พอเริ่มทำงานไปได้สักพักเราก็จะเริ่มมีสมาธิจดจ่ออยู่กับงานที่ทำ อาการเจ็บป่วยต่างๆ ก็เหมือนจะหายไปหมด จะเริ่มกลับมาอีกทีก็เมื่องานเสร็จแล้ว แต่เมื่อถึงตอนนั้น เราก็จะกำลังรู้สึกอิ่มเอิบกับงานที่เพิ่งทำสำเร็จไป อาการป่วยมันก็เหมือนจะทุเลาลง ผมเองได้ทำงานมาหลายประเภททั้งสิ่งพิมพ์ แอนิเมชั่น โฆษณาโทรทัศน์ สอนหนังสือ ฯลฯ แต่ผมบอกได้ว่าคงไม่มีงานไหนที่จะทำให้สุขใจและหายป่วยเท่ากับงานถ่ายภาพเด็กครับ ตั้งแต่ขณะแรกที่ลูกค้าตัวน้อยก้าวเข้าประตูมาใจเราก็จะไปจดจ่ออยู่กับเขา เข้าไปทำความรู้จักเขา นั่นก็สร้างความชื่นใจได้ระดับหนึ่งแล้ว 


แต่พอถึงเวลาที่เริ่มถ่ายภาพ เวลาที่ได้มองเขาผ่านช่องมองภาพ เวลาที่กดชัตเตอร์ทุกครั้ง มันเหมือนกับว่าเราได้สร้างงานสิ่งดีๆ ให้ชีวิต เราได้เก็บความน่ารัก ได้หยุดช่วงเวลาที่สำคัญและสวยงามในชีวิตของลูกค้าไว้ให้คงสภาพต่อไป อธิบายลำบากครับ แต่มันรู้สึกเหมือนกับเวลาที่เราทานขนมอะไรที่เราชอบ เราไม่อยากให้มันหมดแต่ในที่สุดมันก็จะหมด แต่ทุกครั้งที่กดชัตเตอร์ มันเหมือนกับว่ามีใครมาคอยเติมขนมนั้นให้เราใหม่ เราจะรู้สึกว่าขนมนั้นมันจะอยู่ให้เราได้ชื่นชมตลอดไป มันเป็นความอบอุ่นในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก 


ส่วนที่เหลือเรื่องการปรับ strobe การปรับหน้ากล้องและโฟกัสและอื่นๆ มันเห

มือนกับว่ามือของผมมันเคลื่อนไหวไปเองโดยอัตโนมัติ ผมไม่เคยมานั่งคำนวณขณะถ่ายว่านี่ f เท่าไร ความเร็วเท่าไร แต่มือมันปรับของมันไปเอง ส่วนในหัวมีแต่เรื่องว่าลูกค้าตัวน้อยกำลังจะทำอะไร มีแต่ ขึ้น ลง ซ้าย ขวา ใกล้ ไกล ตรง เอียง ใหญ่ เล็ก ช้า เร็ว มืด สว่าง แล้วตัวเราก็ตอบสนองไปตามนั้นเอง แต่แปลกครับ มันเป็นแค่ความรู้สึก ไม่ได้คิดออกมาเป็นคำๆ เหมือนอย่างเวลาที่ทำอย่างอื่น ใครที่อธิบายได้ว่ามันคืออะไรช่วยขยายความให้ด้วยนะครับ


ตั้งแต่กลับมาจากภูเก็ตผมยังไม่ได้มีโอกาสมาเขียน blog เลยจนวันนี้ สาเหตุเป็นเพราะงานยุ่งมากประกอบกับป่วยครับ กลับจากภูเก็ตก็ตัองสอนต่อกันอาทิตย์กว่าๆ เสาร์อาทิตย์ก็ทำงานถ่ายภาพ อาการป่วยนั้นดูจะเริ่มตั้งแต่ตอนที่กลับจากภูเก็ตได้สักพัก ดูแล้วคล้ายๆ อาการเดิมๆ คือลำไส้อักเสบ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นอาการประจำตัว พองานยุ่งเมื่อไรพอไม่ได้พักเป็นต้องปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนเป็นประจำ

อาทิตย์แรกก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไร สอนเสร็จก็ออกไปถ่ายงานตามปกติ พอเริ่มกดชัตเตอร์ก็รู้สึกสบายใจ อาการป่วยก็ดูจะทุเลาลง พอถ่ายเสร็จก็รู้สึกสบายดีราวกับไม่เคยป่วยมาก่

อน แต่พอมาอาทิตย์ต่อมาก่อนออกไปถ่ายงานลูกค้าอีกท่าน ปรากฏว่าอาการกลับมา คราวนี้รุนแรงกว่าเดิมมาก แต่ก็ตัดสินใจทำอย่างอาทิตย์ก่อนหน้านั้นคือ ออกไปทำงาน เพราะเชื่อว่าถ้าไ

ด้ทำงานแล้วเดี๋ยวก็คงจะหายเป็นปกติ ปรากฏว่าคราวนี้ไม่หายครับ 


ยิ่งถ่ายงานไปถึงจะยังรู้สึกสนุกแต่ร่างกายกลับยิ่งรู้สึกทรมาณ ถึงขั้นที่ว่าเริ่มจะสงสัยตัวเองว่าเราจะถ่ายจนเสร็จไหวไหม หรือเราจะเป็นลมล้มกลิ่งไปก่อนให้ลูกค้าตกใจ การทำงานนั้นช่วยให้เราลืมอาการป่วยได้จริงครับ เพราะสุดท้ายก็ถ่ายงานจนเสร็จและภาพที่ได้ก็อยู่ในเกณฑ์ดี แต่พอส่งลูกค้ากลับบ้านแล้วถึงได้รู้ว่าเป็นไข้ แป้งก็เลยบังคับให้ไปหาหมอ ปรากฏว่าโรงพยาบาลไม่ยอมให้กลับบ้านครับ นอนแบ่บอยู่หลายวัน เจ้าอาการที่เหมือนลำไส้อักเสบนั้นที่สุดแล้วก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าอักเสบจริงไหม เพราะอาการหลักๆ ที่ทำให้ไข้ขึ้นสูงนั้นกลับกลายเป็นการติดเชื่อที่ต่อมลูกหมากและกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งจัดได้ว่าเจ็บปวดพอสมควรทีเดียว 

ทางโรงพยาบาลใจดีเห็นว่ามีแป้งกับดโรฑีมานอนเฝ้าไข้ด้วยก็เลยจัดห้องให้เป็น

ห้องในปีกเดียวกับแผนกเด็กเพื่อให้สามารถยืมเตียงเด็กมาให้ดโรฑีนอนได้ ผมก็เลยได้ห้องดีพิเศษไปด้วย มีทั้ง HDTV ทั้งคอมพิวเตอร์ฝังในผนังพร้อมแป้นพิมพ์ไร้สาย แต่วันแรกๆ มัวแต่นอนซมอยู่ กว่าจะมีแรงลุกขึ้นมาเล่นก็วันทีสามเข้าไปแล้ว


ส่วนการไปภูเก็ตคราวนี้เรื่องงานจัดได้ว่าสำเร็จระดับพอใช้ แ

ต่ที่น่าพอใจเป็นพิเศษคงเป็นการที่ได้พาดโรฑีไปเที่ยวเป็นครั้งแรก ดโรฑีชอบมากครับ เวลาที่ขึ้นเครื่องบินก็หลับเกือบตลอดทาง ไม่ได้งอแงเลย พอตื่นขึ้นมา มองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบินเห็นเมฆกับทะเลก็ส่งเสียงอืออาตื่นเต้น พอเริ่มจะเบื่อก็ปีนข้ามเบาะไปเล่นกับคุณพ่อชาวละตินใจดีที่นั่งอยู่แถวถัดไป ดโรฑีไม่ค่อยชอบอากาศร้อนชื้นในตัวเมืองฯ เท่าไร แต่พอพาออกทะเลไปเที่ยวเล่นน้ำตามเกาะต่างๆ ก็สนุกสนานร่าเริงราวโลมาน้อย 

หลายๆ คนที่มีโอกาสได้เห็นภาพถ่ายจากทริปนี้แล้วต่างต่อว่าผมและแป้งว่า นึกอย่างไรถึงได้พาลูกไปอันตรายและวิบากอย่างนั้น ไม่ร้อนหรือ ไม่กลัวลูกตกน้ำหรือ ปล่อยให้ลูกนั่งเล่นอาหารในจานได้อย่างไร ฯลฯ กลัวครับ กลัวลูกจะได้รับอันตราย กลัวเขาจะกลัว ไม่สนุก กลัวเขาจะป่วย แต่นั่นก็ไม่ต่างอะไรจากเวลาที่อยู่กรุงเทพแล้วพาเขาออกไปซื้อของที่ตามห้างสรรพสินค้า 


จะว่าไปแล้วคุณภาพอากาศแถวอันดามันดีกว่าที่กรุงเทพมาก น้ำทะเลก็สะอาด เข้าตาก็ไม่แสบ ทรายก็นุ่มละเอียด ส่วนเรื่องแดดเรื่องแมลงก็คอยป้องกันให้เขาเป็นพิเศษ คิดไว้ว่าถ้าเขาไม่ชอบก็เลิกแต่นั้น กลับโรงแรม แต่ปรากฏว่าดโรฑีชอบมากครับ ผมกับแป้งก็เลยพลอยตื่นเต้นไปด้วย ชาวเรือที่เห็นดโรฑีร่าเริงก็ชอบ เข้ามาทักด้วยความเอ็นดู เอาของต่างๆ มาให้ บอกว่าไม่เคยเห็นคนไทยพาลูกเล็กๆ มาลอยทะเล พ่อแม่และคุณน้าของดโรฑีก็เลยได้ของฟรีไปด้วย


แล้วส่วนเรื่องที่ผมยอมให้ดโรฑีลงไปนั่งละเลงอาหารในจานน่ะหรือครับ ก็เพราะว่าเราไปเที่ยวไงครับ เราไปเพื่อเห็นสิ่งแปลกใหม่ ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำหรือทำไม่ได้ขณะที่อยู่ที่บ้าน ดโรฑีอยากละเ

ลงจานอาหารมานานแล้วแต่อยู่ที่บ้านเราไม่ให้ทำ คราวนี้เขาไปเที่ยวก็เลยให้เขาได้ลองสักครั้งนึ่งครับ หยิบอาหารเข้าปากทานเองเลย ไม่ชอบอะไรเขาก็จะเอามาวางกลับที่เดิมแล้วผมก็จะรับช่วงต่อไป สนุกดีครับดโรฑีก็สนุก พ่อแม่ของดโรฑีก็สนุกไปด้วย การไปเที่ยวด้วยกันพ่อแม่ลูกของเราถึงจะเหนื่อยกว่าครั้งอื่นๆ ที่มีแต่ผมและแป้ง แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับเราทุกคนครับ 


ผมขอขอบคุณทางคณะผู้จัดงาน Phuket Animation Festival SIPA ภูเก็ตเจ้าเก่าและผู้ประสานงานจากบริษัท Cool Creative ที่เป็นธุระให้ผมและครอบครัวได้เปลี่ยนตั๋วแล้วเปลี่ยนตั๋วอีกจนถึงวินาทีสุดท้ายถึงจะผิตจากแผนเดิมที่วางไว้ไปบ้าง ขอบคุณคุณน้าผู้ซื่อสัตย์ของดโรฑีที่ดั้นด้นติดตามไปช่วยดูแลหลานถึงภูเก็ต และทุกท่านที่ให้ความเอ็นดูครอบครัวน้อยๆ ของเราตลอดการเดินทาง รวมถึงคณะแพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลสมิติเวชสุขุมวิทที่ช่วยให้ผมได้กลับมาเลี้ยงดโรฑีและนั่งเขียน blog อีกครั้ง ขอบคุณคุณย่าและคุณยายที่ผลัดกันช่วยดูแลดโรฑีในขณะที่ผมป่วย และขอบคุณแป้งและดโรฑีที่มานอนอยู่เป็นเพื่อนที่โรงพยาบาล ทำให้ผมรู้ว่าต้องรีบหายป่วยไวๆ เพื่อทุกคนที่รักผม